ในปัจจุบันโทรศัพท์มือถือได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก    
และเป็นอุปกรณ์ที่ต้องพกพาติดตัวไปทุกที่ ทุกเวลา 
ทำให้โทรศัพท์มือถือกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในชีวิตประจำวัน
   แต่มีอิกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ซื่งทำให้โทรศัพท์มือถือสามารถทำงานได้นั้นคือ    " แบตเตอรี่"
 
           
โดยแบตเตอรี่สำหรับโทรศัพท์มือถือในปัจจุบัญส่วนใหญ่จะเป็นแบบ    Li-Ion 
(ลิเธี่ยม - ไอออน) หรือแบบ Li - Poly (ลิเธี่ยม - 
โพลิเมอร์)ซึ่งเป็นรุ่นใหม่    ส่วนรุ่นเก่าจะเป็นแบบ NiCd และ Ni-MH
  
 ส่วนคำถามยอดนิยมที่ว่า "จะต้องชาร์จแบตเตอรี่อย่างไร นานเท่าไร 
และต้องชาร์จกี่ครั้งจึงจะดี"ซื่งตัวผมเองก็ได้ข้อมูลมาหลายวิธี    
ดังนั้นเรามาทำความรู้จัก 
และทำความเข้าใจให้ลึกขึ้นเกี่ยวกับการชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือกันครับ
   แบตเตอรี่ของโทรศัพท์มือถือใหม่ๆ ในปัจจุบัญจะใช้แบตเตอรี่แบบ Li-Ion 
กันหมดแล้ว    ซื่งคุณสมบัติทั่วไปของแบตเตอรี่แบบ Li-Ion 
จะมีคุณสมบัติคร่าวๆ ดังนี้
   
   
       1.คุณสมบัติของแบตเตอรี่ในข้อแรกคือ Operation    Cell Voltage "4.2-2.5 V"
 หมายความว่า แบตเตอรี่แบบ    Li-Ion ทำงานที่ระดับแรงดัน 4.2 V 
เมื่อแบตเตอรี่เต็ม แต่เมื่อใช้งานจนมีแรงดันเหลือเพียง    2.5 V 
และยังพยายามใช้ต่อไปอิก 
จะถือเป็นเรื่องอันตรายต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่    
เพราะจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้น 
เพราะฉะนั้นควรชาร์จแบตเตอรี่เมื่อโทรศัพท์มือถือเตือนนะครับ
     2.คุณสมบัติของแบตเตอรี่ในข้อที่สอง Continuous    rate capability "Typical : 1C " " High rate : 5 C"
    หมายความว่าแบตเตอรี่แบบ Li-Ion 
ชาร์จประจุที่ระดับปกติที่อัตราการชาร์จ 1 C ซึ่งหมายถึง    1 
เท่าของความจุแบตเตอรี่ที่มีหน่วยเป็น Ah (แอมป์ ต่อ ชั่วโมง) เช่น 
แบตเตอรี่    Li-Ion ที่มีความจุ 1,000 mAh (1000 มิลลิแอมป์ต่อชั่วโมง) 
แบตเตอรี่ชนิดนี้มีความจุ    C = 1,000 mAh ดังนั้น 
ถ้าชาร์จแบตเตอรี่ที่มีระดับปกติให้ชาร์จที่กระแส 1,000    mA หรือ 1 A 
จะใช้เวลาในการชาร์จ 1 ชั่วโมง 
และสามารถชาร์จที่ระดับสูงหรือเรียกว่าการชาร์จแบบเร้วที่    5 C 
ให้การชาร์จที่กระแสชาร์จ 5,000 mA จะใช้เวลาการชาร์จ 0.2ชั่วโมง เป็นต้น 
ซื่งเวลาในการชาร์จอาจเพิ่มจากนี้เนื่องจากการสูญเสีย    Loss ( เพราะฉนั้น
 
การคำนวนเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่จนเต็มของโทรศัพท์มือถือแต่ละรุ่นอาจคำนวน
ได้จากการนำความจุของแบตเตอรี่อย่าง    BL-5C ความจุ 970 mAh 
หารด้วยกระแสที่ใช้ในการชาร์จหน่วยเป็น mA ในฝั่ง Output    ครับอย่าง 
Nokia ACP-12U Output 800mA ก็จะใช้เวลาสุทธิ 970/800 = 1.21 ชั่วโมง    
แล้วบวกขึ้นไปอิก 1 - 2 ชั่วโมงกล่ายเป็น 2.21 - 3.21 
ชั่วโมงเผื่อไว้สำหรับค่าการสูญเสีย    Loss ครับ
 
         3.คุณสมบัติของแบตเตอรี่ในข้อ 3 Cycle    life at 100 % DOD "Typical 3000" หมาย
ความว่าความลึกของการคายประจุแบตเตอรี่ในการชาร์จแบตเตอรี่ใหม่ในแต่ละครั้ง
    ( DOD : Depth of Discharge) โดย 100 % DOD 
หมายถึงการใช้แบตเตอรี่จนหมดเกลี้ยง    100 % แล้วนำไปชาร์จใหม่ จะใช้ได้ 
3,000 รอบการชาร์จ
       4.คุณสมบัติของแบตเตอรี่ในข้อที่ 4    Cycle lift at 20 to 40 % DOD "Over 20,000"
 หมาความว่าการใช้งานแบตเตอรี่จนคายประจุออกมาจำนวน    20 % 
ของความจุแบตเตอรี่ ( เหลือความจุที่ 80 % 
)แล้วเริ่มต้นการชาร์จใหม่จนเต็มอิกครั้ง    จะใช้ได้ 20,000 รอบการชาร์จ
       5.คุณสมบัติของแบตเตอรี่ในข้อที่ 5 Calendar    lift " Over 5 year"
 หมายความว่า ถ้าคุณใช้แบตเตอรี่ไปจนครบเวลา    5 
ปีแล้วคุณยังใช้แบตเตอรี่ยังไม่ครบจำนวนครั้งที่แบตเตอรี่สามารถรองรับได้ 
แบตเตอรี่ก็จะเสื่อมได้เช่นกันโดยแบตเตอรี่จะเสื่อมไปเองในเวลาที่มากกว่า  
  5 ปี
      6.คุณสมบัติของแบตเตอรี่ในข้อที่ 6 Self    Discharge Rate "2 to 10 % /month"
 หมายความว่าแบตเตอรี่แบบ    Li-Ion 
เมื่อชาร์จเต็มหรือมีประจุอยู่และไม่นำมาใช้งานประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่จะหาย
ไปเองโดยอัตโนมัติ    ประมาณ 2- 10 % ต่อเดือน 
ฉนั้นแม้ถ้าปิดมือถือไม่ใช้งานเป็นเดือนแบตเตอรี่ก็อาจจะหมดได้
       7.คุณสมบัติสุดท้ายของแบตเตอรี่ Memory    effect "none"
 แบตเตอรี่แบบ Li-Ion ไม่มีปัญหาเรื่อง    Memory effect 
ในแบตเตอรี่รุ่นเก่าๆอย่าง Ni-Cd จะเกิดปัญหา Memory effect 
ซึ่งเกิดมาจากทำการชาร์จแบตเตอรี่ในขณะที่ยังใช้งานไม่หมดกำลังไฟ    
ทำให้ประสิทธิภาพในการประจุไฟเข้าไปใหม่ลดลง 
ฉนั้นหากเป็นแบตเตอรี่ที่ไม่มีปัญหาเรื่อง    Memory effect 
คุณสามารถทำการชาร์จได้ตลอดแม้ยังใช้ไม่หมด
 
   
       ซึ่งจากข้อมูลข้างต้นทำให้เราทราพว่าอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ขึ้น
อยู่กับช่วงเวลาและจำนวนครั้งในการชาร์จของแบตเตอรี่    และข้อมูลในข้อ 3 
และ 4 ถ้าคุณใช้แบตเตอรี่จนหมดเกลี้ยงหรือ 100 % DOD 
ในทุกครั้งที่ชาร์จแบตเตอรี่ใหม่ตลอดอาจุของแบตเตอรี่ที่คุณใช้    
จะสามารถใช้งานแบตเตอรี่นี้โดยการ Charge / discharge กลับไปกลับมาอย่างนี้
 3000    รอบ แบตเตอรี่จึงเสื่อมสภาพ แต่ถ้าคุณใช้แบตเตอรี่ไปประมาณ 20 - 
40 % ของความจุแล้วชาร์จใหม่    
ทำอย่างนี้ทุกๆครั้งตลอดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ คุณสามารถ Charge / 
Discharge กลับไปกลับมาได้ถึง    20,000 รอบ แบตเตอรี่จึงเสื่อมสภาพ
   ดังนั้นการใช้แบตเตอรี่แบบ 20 - 40 % DOD จะดีกว่า เพราะสามารถชาร์จแบตเตอรี่จำนวนครั้งได้มากกว่า    100 % DOD ถึง 6-7 เท่า 
   
         สรุปว่าแบตเตอรี่แบบ    Li-Ion ควรจะชาร์จหลังการใช้งานไปประมาณ 20-40 % เพื่อเพิ่มรอบในการชาร์จ    ซื่งแตกต่างไปจากแบตเตอรี่ชนิด Ni-Cd หรือ Ni-Mh ที่จะต้องใช้แบตเตอรี่ให้หมดเกลี้ยงทุกๆครั้ง
   ในการใช้เครื่องชาร์จ ควรใช้เครื่องชาร์จที่ได้รับไฟฟ้าที่นิ่งๆ 
คือการได้รับไฟฟ้าที่ไม่มีไฟตก    ไฟเกิน หรือไฟกระชาก 
อุณภูมิระหว่างการชาร์จ หรือประจุไฟควรที่จะประจุที่อุณภูมิปกติ    
และไม่มีความชื้นมากนัก เพราะจะทำให้ถ่ายเทความร้านได้ยาก 
ขั้วแบตเตอรี่และขั้วสายชาร์จนั้นต้องมีการส่งผ่านไฟฟ้าที่สม่ำเสมอ    
เพราะทำให้การประจุไฟหรือการชาร์จเป็นไปอย่างราบลื่นและได้เป็นผลที่ดีควร
หลีกเลี่ยงการทำแบตเตอรี่ตกพื้น    เพราะจะทำให้หน้าสัมผัสภายในเสียหาย 
หรือหลุดได้ 
รวมถึงทำให้สารประกอบต่างๆรั่วไหลและเป็นต้นเหตุให้เกิดการระเบิดได้
   
การชาร์จในตอนหลังที่ได้รับแบตเตอรี่มานั้น Ni-Cd , Ni-Mh 
นั้นจะใช้เวลาในการชาร์จ    12 - 14 ชม. ใน 3 ครั้งแรก 
และทุกครั้งต้องใช้แบตเตอรี่ให้หมด เพื่อเป็นการกระตุ้นธาตุ    Ni ส่วน 
Li-Ion และ Li-Poly นั้นไม่ต้องครับแค่ชาร์จให้เต็มในสามครั้งแรก ชาร์จสัก 
   6 ชม.ก็พอครับ แต่สำหรับ Li-Ion 
อย่าทำให้แบตเตอรี่หมดเกลี้ยงเป็นอันขาดเพราะจะทำให้แบตเตอรี่เสียได้    
แต่โดยทั่วไปแล้วตัวแบตเตอรี่เองจะมีวงจรป้องกันการใช้จนหมดอยู่แล้ว ส่วน 
Li-Poly    นั้นแก้ใขส่วนนี้มาแล้ว และยังเป็นแบตเตอรี่ที่มีน้ำหนักเบากว่า
 Li-Ion อิกด้วยครับ
 
   Reference : Mymobile Magazibe Feb 2007
4/24/2556
ชาร์จ Battery อย่างไรให้ถูกวิธีเพื่อเพิ่มอายุการใช้งานให้ยาวนาน
05:59
  
  No comments
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)






0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น