8/13/2562

USB Type-C (USB-C) คืออะไร? ดีกว่า USB แบบเดิมๆ แค่ไหน มาตรฐานการเชื่อมต่อแบบใหม่ที่คุณควรรู้จัก


USB Type-C (USB-C) คืออะไร? ดีกว่า USB แบบเดิมๆ แค่ไหน มาตรฐานการเชื่อมต่อแบบใหม่ที่คุณควรรู้จัก




สำหรับอุปกรณ์ไอทีต่างๆ พอร์ต USB ถือว่าเป็นช่องทางพื้นฐานในการเชื่อมต่อที่สำคัญ ในปัจจุบันนี้เรียกว่าอุปกรณ์ไอทีหลากหลายชนิดจะต้องรองรับการเชื่อมต่อผ่านสาย USB ไม่ว่าจะใช้ถ่ายโอนไฟล์ข้อมูลต่างๆ หรือไว้สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ก็ตาม





โดยตัว USB เอง ก็มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปมากตั้งแต่ในอดีตจนกระทั่งปัจจุบัน ไม่เพียงแต่รูปร่างเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนแปลงในด้านความสามารถในด้านอื่นๆ มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการถ่ายโอนไฟล์ที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น และล่าสุดก็มีมาตรฐานการเชื่อมต่อแบบใหม่อย่าง USB Type-C หรือ USB-C เข้ามาให้ใช้งานกันแล้ว และต่อไปอุปกรณ์ต่างๆ ก็จะทยอยปรับเปลี่ยนมาใช้ USB Type-C กันมากขึ้นตามลำดับ แต่ก่อนที่เราจะไปรู้จัก USB Type-C มาลองศึกษากันดูก่อนดีกว่าว่า USB นั้น มีกี่แบบ และแต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร



USB Type-A


USB Type-A 2.0


USB Type-A เป็น USB ที่เราน่าจะคุ้นเคยมากที่สุดในปัจจุบัน เพราะใช้กันอย่างแพร่หลายกับอุปกรณ์ต่างๆ เวอร์ชันแรกของ USB Type-A จะเป็นเวอร์ชัน 1.1 โดยถือกำเนิดในช่วงปี 1998 แต่ในปัจจุบันนี้ USB Type-A 1.1 ได้ถูกแทนที่ด้วยเวอร์ชัน 2.0 ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา ด้วยเทคโนโลยีของเวอร์ชัน 2.0 สามารถถ่ายข้อมูลได้รวดเร็วกว่านั่นเอง

ส่วน USB Type-A เวอร์ชัน 3.0 เริ่มมีการใช้งานตั้งแต่ปี 2008 แต่เนื่องจากในขณะนั้น อุปกรณ์ต่างๆ ยังไม่รองรับการใช้งาน USB Type-A เวอร์ชัน 3.0 จึงทำให้ USB Type-A 3.0 ไม่เป็นที่นิยมมากนัก

จนกระทั่งในปัจจุบันมาตรฐานของ USB Type-A เวอร์ชัน 3.0 เป็นที่นิยมมากขึ้น และมีอุปกรณ์รองรับมากยิ่งขึ้น รวมถึงสามารถถ่ายโอนไฟล์ได้เร็วกว่าเวอร์ชัน 2.0 อีกด้วย โดยความแตกต่างของอุปกรณ์ที่รองรับพอร์ต USB 3.0 ด้านในจะเป็นสีฟ้า เพื่อเป็นจุดสังเกตภายนอกที่แสดงถึงความแตกต่างระหว่าง USB 2.0 กับ USB 3.0



USB Type-A mini และ USB Type-A micro


ความแตกต่างระหว่าง USB Type-A micro และ USB Type-B

สำหรับ USB Type-A mini ได้มีการเลิกใช้ตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา ส่วน USB Type-A micro ยังคงมีอยู่ แต่พบเจอได้น้อยมาก มีเพียงไม่แค่กี่อุปกรณ์ที่รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-A micro และในปัจจุบัน เวอร์ชันของ USB Type-A micro ได้พัฒนามาเป็นเวอร์ชัน 3.0 เช่นกัน



USB Type-B


USB Type-B 3.0

ส่วน USB Type-B ที่ยังเห็นใช้กันอยู่ในปัจจุบัน คงจะหนีไม่พ้นเครื่องปริ๊นเตอร์กับเครื่องสแกนเนอร์ โดยถ้าเป็นเวอร์ชัน 2.0 ก็หาได้ทั่วไปในปัจจุบัน ส่วนเวอร์ชัน 3.0 ก็มีการรองรับแล้วเช่นกัน



USB Type-B mini และ USB Type-B micro


USB Type-B mini (ซ้าย) และ USB Type-B micro (ขวา)

USB Type-B mini จะใช้กับอุปกรณ์รุ่นเก่า อย่างเช่นกล้องดิจิทัล ส่วน USB Type-B micro จะเป็นที่แพร่หลายมากกว่า เพราะโดยหลักๆ แล้ว สมาร์ทโฟนในปัจจุบันแทบทั้งหมดรองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB Type-B micro



USB Type-C ดีกว่าอย่างไร?





ล่าสุด USB ได้ถูกพัฒนาในมาตรฐานใหม่ โดยใช้ชื่อว่า USB Type-C หรือ USB-C ซึ่งมาพร้อมกับเทคโนโลยี USB เวอร์ชัน 3.1 ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม และจะเป็นมาตรฐานใหม่ของวงการไอที และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้งานพอร์ต USB ที่จะต้องมีการปรับตัวเพื่อรองรับการใช้งาน ส่วน USB Type-C มีการเปลี่ยนแปลงไปจาก USB ของเก่าอย่างไร และจะมีคุณสมบัติใดที่เหนือกว่า USB รุ่นเก่าบ้าง ต้องตามไปดูกัน



สามารถใช้งานกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างสะดวกมากขึ้น



เรียกว่าเป็นที่น่าสับสนไม่น้อย ถ้าหากต้องการเลือกซื้อสาย USB สักเส้น รวมถึงเมื่อเชื่อมต่อ USB เข้ากับอุปกรณ์ต่างๆ เรียกว่าทุกคนอาจจะเคยพบปัญหาเกี่ยวกับการเสียบผิดด้าน เสียบไม่เข้า จนกระทั่งต้องเพ่งให้ดีกว่าเดิม ถึงจะเสียบเข้ากับอุปกรณ์ต่างๆ ได้

แต่สำหรับปัญหาด้านบนจะหมดไป เพราะ USB Type-C หัวเชื่อมต่อสามารถเสียบได้ทั้งสองด้าน ไม่ว่าจะพลิกด้านบน หรือด้านล่าง คราวนี้ก็สามารถเสียบได้อย่างง่ายดาย ผิดกับ USB รุ่นก่อนๆ ที่จะต้องเสียบให้ถูกด้านนั่นเอง



USB Type-C มาพร้อมกับเวอร์ชัน 3.1 ที่ถ่ายโอนไฟล์ข้อมูลได้เร็วกว่าเดิม



โดยหัวการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C จะค่อนข้างมีลักษณะ และขนาดที่ใกล้เคียงกับ USB Type-B micro ซึ่ง USB Type-C มาพร้อมกับเทคโนโลยีเวอร์ชัน 3.1 ที่สามารถถ่ายโอนไฟล์ข้อมูลได้สูงสุดถึง 10 Gbps เรียกว่าสามารถถ่ายโอนไฟล์ได้เร็วกว่าเดิมเป็นสองเท่าของ USB เวอร์ชัน 3.0 ที่สามารถถ่ายโอนไฟล์ได้ที่ 5 Gbps จึงทำให้ USB Type-C มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมสำหรับการถ่ายโอนไฟล์ใหญ่ๆ อย่างเช่นวิดีโอความละเอียด 4K หรือการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับสมาร์ททีวี เพื่อเล่นเกมที่ต้องรองรับการการโอนข้อมูลจำนวนมากก็ตาม



USB Type-C รองรับการจ่ายไฟที่มากกว่า



ด้วยเทคโนโลยี USB Power Technology จึงทำให้ USB Type-C สามารถรองรับการจ่ายกระแสไฟฟ้าได้สูงถึง 20V, 5A นั่นหมายความว่าอุปกรณ์ใหญ่ๆ อย่างโน๊ตบุ๊คสามารถชาร์จผ่าน USB Type-C ได้เลย รวมถึงการถ่ายโอนไฟล์ก็สามารถทำได้ในเวลาเดียวกัน ส่วนบนอุปกรณ์พกพาอย่างเช่นสมาร์ทโฟน ผลพลอยได้นี้จึงทำให้สมาร์ทโฟนต่างๆ สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้รวดเร็วขึ้นนั่นเอง



จะเริ่มมีการใช้งาน USB Type-C เมื่อใด?



USB Type-C ได้รับการพัฒนาจากกลุ่ม USB Promoter Group ซึ่งมีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการในปลายปี 2014 ว่า ได้พัฒนา USB Type-C เป็นผลสำเร็จ และจะใช้ USB Type-C เป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ในอนาคต โดยในปัจจุบันก็มีอุปกรณ์หลายชนิดที่รองรับการใช้งาน USB Type-C บ้างแล้ว ซึ่งคาดว่าในปลายปี 2015 จะเริ่มมีอุปกรณ์ที่รองรับการเชื่อมต่อกับ USB Type-C มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต หรือโน๊ตบุ๊คก็ตาม

เรียกได้ว่า USB Type-C จะเป็นอีกมาตรฐานที่สำคัญอย่างหนึ่งของวงการเทคโนโลยี ซึ่งแน่นอนว่าในอนาคตนั้น อุปกรณ์ต่างๆ จะรองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB Type-C เพิ่มมากขึ้น และจะเริ่มมีการใช้งาน USB Type-C อย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้นอีกด้วย