5/30/2556

10 วิธีใช้งาน SmartPhone อย่าง "Smart"

SmartPhone ...เมื่อพูดถึงคำนี้ หลายคนคิดว่า มันจะทำให้ชีวิตของเราง่ายขึ้น? ทำให้เราทำงานสำเร็จลุล่วง? แต่ยังก่อน จนกว่าคุณจะอ่านบทความนี้จบ และทบทวนว่าวันนี้คุณใช้สมาร์ทโฟนอย่าง "สมาร์ท" แล้วหรือยัง



โทรศัพท์ได้รับความนิยมและใช้งานต่อเนื่องมาอย่างยาวนานจนกระทั่งการมา ของ "iPhone" ได้เปลี่ยนความคิดของการใช้โทรศัพท์แบบเดิม และเกิดนิยามคำว่าสมาร์ทโฟนขึ้นมาได้ชัดเจนและเห็นภาพมากขึ้น
Steve Job เคยกล่าวนิยามของ SmartPhone ไว้ว่า"ปัญหาของ smartphone คือ...มันไม่ได้สมาร์ทซะทุกอย่างเหมือนที่ชื่อบอกและมันก็ไม่ได้ง่ายต่อการ ใช้งานนัก"

มีข้อสงสัยว่าสมาร์ทโฟนเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของเรามากเกินไปหรือ เปล่า? คนส่วนใหญ่ไม่ออกจากบ้านโดยไม่พกสมาร์ทโฟน และถ้านึกขึ้นได้ว่าลืม พวกเขามักจะกลับไปเอา เรียกว่าขาดไม่ได้ ว่างั้นเถอะ
ยังมีหลายคนที่ยอมรับว่าสมาร์ทโฟนนั้นชอบแทรกตัวเข้ามาในระหว่างดำเนิน ชีวิตประจำวัน และเป็นสาเหตุหลักของความวุ่นวายใจ ไหนจะเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว เรื่องแฟน ยังต้องมีเรื่องโทรศัพท์อีก ... โอ้ชีวิต !@#$%


10 วิธีการใช้งาน SmartPhone อย่างชาญฉลาด (Be Smarter About Your Smartphone)

1. รู้วิธีใช้งาน : ถ้าคุณมีสมาร์ทโฟนสักเครื่องและอยากจะใช้งานฟีเจอร์ดีๆ ที่มันมี โปรดมั่นใจว่าคุณทำความคุ้นเคยและเรียนรู้วิธีการใช้งานมันจริงๆ ไม่ว่าจะเรื่องของการท่องอินเทอร์เน็ตเต็มรูปแบบ, ปรับขนาดภาพวิดีโอตามความเหมาะสม ทั้งหมดนี้มีสอนบน Youtube อย่าพลาดที่จะเรียนรู้และหัดใช้ให้เป็น
2. รู้ว่าจะปิดเสียงยังไง : ถ้าคุณเรียนรู้ข้อ 1 เรียบร้อยแล้ว อย่าลืมดูวิธีปิดเสียงโทรศัพท์ของคุณ มันแปลกมากที่คนส่วนใหญ่ใช้สมาร์ทโฟนทั้งๆ ที่ไม่ทราบวิธีปิดเสียง มันคงไม่ดีนักถ้าคุณประชุมอยู่แล้วสมาร์ทโฟนดังขึ้น คนอื่นคงไม่มองว่ามัน "สมาร์ท" แล้วกระมัง
3. เรียนรู้มารยาท กาละเทศะ : หรืออะไรก็ตามแล้วแต่จะเรียก ไม่มีใครคนไหนอยากฟังเสียงคุณคุยโทรศัพท์หรอกนะ เชื่อสิ! หลีกเลี่ยงการคุยโทรศัพท์ในที่สาธารณะ เช่น ในโรงภาพยนต์ โรงพยาบาล ร้านอาหาร และที่ๆ มีคนอยู่เยอะ หากต้องรับสายมันคงจะดีกว่าถ้าคุณจะออกไปโทรศัพท์ข้างนอก
4. ใช้อย่างระมัดระวัง : สมาร์ทโฟนเป็นหนึ่งในหายนะของการขับรถ หากจำเป็นต้องสนทนา เลือกใช้ชุดหูฟังเพื่อความปลอดภัยของชีวิตคุณและผู้โดยสารดีกว่า
5. ปิดการแจ้งเตือนอีเมล : อีเมลบนสมาร์ทโฟนเป็นหนึ่งในตัวสร้างเสียงรบกวนที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด คุณไม่จำเป็นต้องเช็คเมลทุกๆ 30 วินาทีหรอกนะ ถ้าไม่ใช่นักธุรกิจที่ต้องติดต่องานมูลค่าหลายล้าน ขอแนะนำให้ปิดเสียงเตือนอีเมลในโทรศัพท์ ยกเว้นจำเป็นต้องตรวจเช็คอีเมลบ่อยจริงๆ (บ่อยครั้งที่เป็นอีเมลไร้สาระ ไม่เห็นน่าสนใจ)
6. ปิดการแจ้งเตือนทั้งหมด : คุณแน่ใจหรือว่าจะเปิดการแจ้งเตือนทุกอย่าง ? ต้องดูทุกความเคลื่อนไหว ? ปิดไปซะบ้าง จะเห็นว่าชีวิตคุณมีเวลาเหลืออีกเพียบ!
7. ทำความสะอาดเครื่อง (ข้างในระบบ) : ถึงแม้คุณจะมีพื้นที่เก็บข้อมูลแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนมหาศาลแค่ไหน ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องโหลดแอพพลิเคชั่นมาทุกตัว เลือกใช้เฉพาะที่ใช้งานจริง พนันกันได้เลยว่ามีแอพพลิเคชั่นที่คุณไม่เคยเปิดใช้อยู่ในสมาร์ทโฟนแน่นอน
8. เก็บมันใส่กระเป๋า : ไม่จำเป็นต้องมองเห็นสมาร์ทโฟนวางอยู่บนโต๊ะ หรืออยู่ในห้องประชุม รอคอยเวลาให้มันสั่นหรอกนะ เมื่อคุณไม่ใช้มัน เก็บใส่กระเป๋าเสื้อหรือกระเป๋าดีกว่า ไม่เสี่ยงต่อการสูญหายด้วย
9. สำรองข้อมูล : อย่าประมาท เพราะสิ่งสำคัญนอกจากการที่โทรศัพท์หาย นั่นคือข้อมูลก็หายไปด้วย รายชื่อติดต่อมากมาย ? ภาพส่วนตัว ? โปรดแน่ใจว่าคุณสำรองข้อมูลเป็นประจำ หากคุณใช้ iPhone มันเป็นเรื่องง่ายมาก เพียงสำรองข้อมูลผ่าน iCloud (คนส่วนใหญ่ มักละเลยข้อนี้)
10. ตรวจสอบค่าใช้จ่าย : มั่นใจมากว่ามีหลายคนที่ใช้สมาร์ทโฟนแล้วต้องเสียเงิน "แพงกว่าความเป็นจริง" ตรวจสอบค่าใช้จ่ายที่ใช้งานจริง และเลือกโปรโมชั่นหรือการใช้งานที่เหมาะสม อย่ามองว่าต้องมีแพคเกจบุฟเฟต์ Unlimited ในขณะที่ใช้จริงแค่ไม่กี่ร้อยบาท เสียดายเงิน!
มีอีกหลายวิธีที่จะใช้งานสมาร์ทโฟนอย่างชาญฉลาด อย่าลืมว่าจุดประสงค์ของเทคโนโลยี คือช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน อย่าใช้งานสมาร์ทโฟนแพงๆ เพราะสักแต่ว่า ต้องมี ต้องเท่ห์ เพราะว่าพรุ่งนี้...มือถือของคุณ..ก็กลายเป็นรุ่นเก่าแล้ว!

การใช้มือถืออย่างปลอดภัย

คุณ เคยคิดเรื่องโทรศัพท์มือถือหายบ้างไหม เราเชื่อว่าความรู้สึกแบบนี้จะทำให้คุณตระหนักว่าชีวิตเราพึ่งพามือถือมาก เพียงใด และยิ่งในฐานะที่เป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กแล้ว เชื่อได้ว่าคุณยิ่งต้องเก็บรักษาหมายเลขติดต่อที่สำคัญไว้อย่างดี เพื่อให้ทำงานผ่านอีเมลบนมือถือสะดวกไม่ติดขัด รวมถึงยังต้องคำนึงเรื่องข้อมูลทางธุรกิจต่างๆ ที่อาจถูกดึงออกไปใช้งานเมื่อโทรศัพท์มือถือคุณหายไปอีกด้วย


การ ปกป้องมือถือของคุณจากภัยตามมาจากการทำโทรศัพท์หายหรือถูกขโมยนั้นไม่ใช่ เรื่องยาก เพียงแค่อาศัยวินัยในการใช้งานและความระมัดระวังนิดหน่อย ข้อพึงปฏิบัติต่อไปนี้จะช่วยรักษาข้อมูลในโทรศัพท์มือถือของคุณให้ปลอดภัย เสมอ


  • ล็อคหน้าจอโทรศัพท์ด้วยรหัสผ่าน – คุณอาจคิดว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญ แต่หากลองคิดให้ดี แม้แต่เครื่องแล็ปท็อป คุณยังตั้งรหัสผ่าน เพื่อความปลอดภัยทำไมจึงไม่ทำเช่นเดียวกันกับโทรศัพท์มือถือบ้าง เพราะโทรศัพท์มือถือเล็กกว่าแล็ปท็อป และยังมีโอกาสหายง่ายกว่า อีกทั้งยังเป็นอุปกรณ์ที่เก็บข้อมูลสำคัญที่มีค่าไว้มากมาย แม้ในตอนแรกๆ การพิมพ์รหัสผ่านเพื่อเปิดเครื่องโทรศัพท์อาจจะดูยุ่งยากไปสักหน่อย แต่เราเชื่อว่าหากใช้เวลาสักพักคุณก็จะเกิดความเคยชินจนเป็นนิสัยและไม่ รู้สึกลำบากอะไรอีกเลย
  • อย่าลืมอัพเดทมือถือ – เช่นเดียวกับพีซี เราจำเป็นต้องอัพเดทซอฟต์แวร์และแอพพลิเคชั่นบนมือถืออย่างสม่ำเสมอ เพราะจะช่วยเสริมระบบความปลอดภัยและป้องกันภัยร้ายจากไวรัสต่างๆ ที่เข้ามาคุกคามข้อมูลดิจิตอล อุปกรณ์สื่อสารแบบพกพาหลายชนิดได้รับการตั้งโปรแกรมให้เตือนการอัพเดทแก่ผู้ ใช้ ดังนั้นเพียงแค่ทำตัวให้คุ้นชินกับพฤติกรรมเหล่านี้ที่ต้องติดตั้งอัพเดททุก ครั้งที่ได้รับแจ้งเตือน การใช้งาน Windows Phoneจะสะดวกสบายยิ่งขึ้น โดยสามารถศึกาคำแนะนำการติดตั้งอัพเดทได้จากที่นี่
  • ทิ้งร่องรอยให้โทรศัพท์มือถือของคุณ – เราขอแนะนำให้เช็คดูว่าระบบปฏิบัติการบนมือถือของคุณมีบริการติดตามตำแหน่ง ที่ตั้งหรือไม่ ตัวอย่างเช่น Windows Phone ที่มีแอพพลิเคชั่น Find My Phone ซึ่งบริการนี้ช่วยให้คุณสามารถค้นหาตำแหน่งที่อยู่ของโทรศัพท์มือถือของคุณ บนแผนที่ออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย จากนั้นมันก็จะล็อคโทรศัพท์ และลบข้อมูลทั้งหมดได้โดยการสั่งงานผ่านรีโมท หากระบบปฏิบัติการบนมือถือของคุณไม่มีคุณสมบัตินี้ ผู้ให้บริการสามารถนำเสนอแอพพลิเคชั่นในลักษณะคล้ายกันให้แก่คุณได้
  • สร้างระบบการบริหารจัดการพนักงานที่ทำงานผ่านอุปกรณ์สื่อสารแบบพกพา – สำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่พนักงานใช้อุปกรณ์สื่อสารแบบพกพาเพื่อทำงานอย่าง เต็มประสิทธิภาพ เราขอแนะนำบริการที่จะช่วยให้คุณอุ่นใจ เช่น Windows Intune ที่มอบความปลอดภัยในการใช้งานและวิธีที่สะดวกที่สุดในการจัดการโทรศัพท์มือ ถือหรืออุปกรณ์สื่อสารแบบพกพาขององค์กร ซึ่ง Windows Intune เป็นโซลูชั่นบนระบบคลาวด์ที่ช่วยบริหารจัดการอุปกรณ์สื่อสารเชิงธุรกิจ อย่างเช่นพีซี แท็บเล็ต และโทรศัพท์มือถือ ที่ครอบคลุมทั้ง Windows, iOS และ Andriod บริการดังกล่าวช่วยให้คุณอัพเดทและบังคับใช้นโยบายการเข้าถึงข้อมูลใน โทรศัพท์ได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังมี Exchange ActiveSync (EAS) ที่ช่วยให้คุณจัดการซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ด้วยโทรศัพท์มือถือที่เชื่อมต่อ กับเครือข่ายของคุณได้ ในขณะที่ช่วยเข้ารหัสไฟล์และรหัสผ่านตามที่คุณต้องการได้
โดยเราเชื่อว่าหากผู้ใช้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพียงเล็กน้อยตามที่ได้กล่าวมา ก็จะสามารถแก้ไขได้ในระยะยาวเพื่อประโยชน์แก่ธุรกิจของคุณ

วิธีการเลือกเพื่อนทั้งหมดใน Facebook โดยไม่ต้องนั่งคลิกทีละคน [ใน Suggest to Friends]



เอาทิปเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับ Facebook มาฝากครับเหมาะสำหรับคนที่ทำ fan page ในผลิตภัณฑ์หรือผลงานของตัวเอง โดยเป็นเทคนิคในขั้นตอนการ Suggest to Friends ซึ่งโดยปกติแล้วหากเราต้องการแนะนำ fan page ของเราหรือที่น่าสนใจให้เพื่อน เราก็ต้องมานั่งคลิก Suggest to Friends ให้กับเพื่อนที่ละคน และทิปที่ผมจะมานำเสนอวันนี้คือ การเลือกเพื่อนทุกคนในขณะที่ Suggest to Friends โดยไม่ต้องมานั่งคลิกทีละคน !!

ปกติเวลาเราจะเราจะต้องมานั่งคลิกเพื่อที่ละคน



และถ้าหากต้องการแนะนำให้เพื่อนทุกคนเลย มานั่งคลิกทีละคน เมื่อยมือแน่ครับ
วิธีการก็ง่ายๆครับ เข้าไปหน้าที่เราต้องการแนะนำเพื่อน
คลิกที่ Suggest to Friends (อยู่ใต้รูปประจำ fan page) จะชึ้นหน้าสำหรับให้คลิกเลือกเพื่อ
ให้ก็อปโค้ดด้านล่างนี้

javascript: fs.select_all();
ไปวางที่ Address bar ในเว็บเบราเซอร์ของหน้าที่เราเปิด Suggest to Friends แล้วกด Enter
เพียงเท่านี้ เพื่อนทุกคนของเราก็จะถูกเลือกไว้แล้ว :D



วิธีนี้นอกจะจะใช้ในการ Suggest to Friends ได้แล้ว ยังสามารถเอาไปใช้ในกรณีอื่นๆที่เราต้องการเลือกเพื่อนใน facebook ของเราได้อีกด้วย เช่น การเลือกส่ง Item ในเกมให้เพื่อน ทุกคน, หรือการเลือกทั้งหมดเฉพาะกลุ่มก็ได้ :D :D

Form .. http://www.9tana.com/node/suggest-to-friends-all/

5/18/2556

Setup DHCP Server บน windows Server 2008


DHCP Server
DHCP (Dynamic Host Configuration Protocol) Server เป็นบทบาทหน้าที่ของ Server ที่แจกจ่าย IP Address ประจำตัวให้กับเครื่อง Client ภายในเครือข่าย แต่ไม่ใช่เฉพาะ IP Address ของเครื่อง Client เท่านั้น DHCP ยังสามารถแจกจ่าย IP Address ที่ใช้กับส่วนประกอบอื่น ๆ ภายใน Network ได้อีกด้วย
โดยทั่วไป การใช้งานภายในเครือข่าย จำเป็นต้องอาศัย IP Address ที่ระบุให้กับ Client รวมถึง Server ต่าง ๆ ในเฉพาะส่วน Server นั้นแนะนำว่าควรจะทำการตั้งค่า Static IP Address ไว้เลย เพราะ Server คือเครื่องที่ทำหน้าที่ให้บริการต่าง ๆ กับเครื่อง Client ที่ไม่ควรจะมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของ IP Address บ่อยครั้ง แต่สำหรับเครื่อง Client ที่มีจำนวนมากแล้ว การที่จะเดินไปตั้งค่า IP Address ให้กับเครื่องทั้งหมดนั้นคงเป็นไปได้ลำบากและเสียเวลาพอสมควร ดังนั้น จึงต้องมีการติดตั้ง DHCP Server ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่แจกจ่าย IP Address ให้กับเครื่อง Client ทั้งหมด

Add DHCP Server Role

 เปิด Server Manager ขึ้นมาแล้วคลิก Add Roles
Add DHCP Server Role
หน้า Before You Begin คลิก Next
หน้า Server Roles เลือก DHCP Server, คลิก Next
Select DHCP Server
หน้า Select Network Connection Bindings เลือก Network Card ที่จะใช้สำหรับเป็นเส้นทางในการแจกจ่าย IP Address ออกไปยัง Client, คลิก Next
Select Network Connection Bindings
หน้า Specify IPv4 DNS Server Settings กำหนด Domain name และ IP Address ของ DNS Server ซึ่ง ถ้าหากเป็นในองค์กรของคุณเอง ก็ระบุ Domain name ที่ใช้ในองค์กรของคุณลงไป, คลิก Next
Specify IPv4 DNS Server Settings
หน้า Specify IPv4 WINs Server Settings กำหนด IP Address ของ WINs Server ที่มีอยู่ในเครือข่าย หากไม่มีการใช้ WINS Server ก็ให้ Next ข้ามไป
Specify IPv4 WINs Server Settings
Dialog Add Scope ให้ตั้งชื่อ Scope และกำหนดช่วงของ IP Address ที่ต้องการให้แจกจ่ายไปยัง Client และหากมีการใช้ Internet ด้วย ก็ควรจะกำหนด IP Address ในช่อง Default Gateway ไว้ด้วย แล้วคลิก OK
Add Scope
หน้า Configure DHCPv6 Stateless Mode กำหนดว่าจะมีการแจกจ่าย IPv6 ด้วยหรือไม่ ในตัวอย่างนี้ไม่ใช้งานก็ให้เลือก Disable DHCPv6, คลิก Next
Configure DHCPv6 Stateless Mode
หน้า Confirm Installation Selections คลิก Install
Confirm Installation Selections DHCP
เมื่อติดตั้ง DHCP Server เสร็จแล้ว ให้เปิด DHCP ขึ้นมาตรวจสอบรายละเอียดต่อไปนี้
Address Pool เป็นช่วงของ IP Address ที่เราต้องการให้มีการแจกจ่าย IP Address ให้กับ Client
Address Pool
Address Leases คือรายการของ IP Address ที่ได้มีการแจกจ่ายไปให้กับ Client ใช้งานแล้ว
Reservations รายการของ DHCP Server ที่มีการจองไว้ให้กับ Client บางเครื่อง (DHCP Reservations)
Scope Options ตัวเลือกปรับแต่งเพื่อกำหนดว่า ต้องการให้มีการแจกจ่าย IP Address ที่ใช้สำหรับบริการใดบ้างไปให้ Client โดยพื้นฐานที่ Client จะต้องได้รับ IP Address นั้น ก็เช่น IPv4 Address, IPv4 Subnet Mask, IPv4 Default Gateway, IPv4 DNS Server ซึ่งเราสามารถกำหนดได้จาก Scope Options นี้ และเมื่อ Client มีการร้องขอเพื่อถามหา IP Address แล้ว ก็จะถูกแจกจ่ายการตั้งค่าเหล่านี้ไปให้ Client อัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องไปตั้งค่าเองถึงหน้าเครื่องให้เหนื่อยเลย
Scope Options
เมื่อมี Client ในเครือข่ายที่ยังไม่ได้รับ IP Address แล้วเปิดเครื่องขึ้นมา ก็จะสามารถได้รับ IP Address จาก DHCP Server ตาม Scope Options ที่ได้กำหนดไว้แล้ว
DHCP Client

5/16/2556

HTML5 ทำไมเราต้องรู้จักกัน?


บทความชิ้นนี้ค่อนข้างเป็นบทความ เชิงเทคนิค แต่อย่าเพิ่งตกใจ เพราะผู้เขียนตั้งใจเขียนให้มีเนื้อหาด้านเทคนิคไม่ซับซ้อน เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงแนวคิดของเทคโนโลยีที่นับวันจะพัฒนาขึ้นไป เรื่อยๆ และเมื่อรู้เขารู้เรา ก็จะเพิ่มโอกาสและไอเดียในการนำความสามารถของ HTML5 มาต่อยอดทำอะไรๆ ได้เยอะแยะเลยครับ
HTML5 คืออะไร


HTML (ย่อมาจากคำว่า Hypertext Markup Language) คือภาษาพื้นฐานภาษาหนึ่งที่ใช้ในการแสดงผลโดยมีแท็ก (Tag) ไว้กำหนดคำสั่งความสามารถต่างๆ โดย HTML มีหน่วยงานกลางคือ W3C (World Wide Web Consortium) ที่คอยกำกับดูแลและพัฒนามาตรฐานของภาษานี้ จนเมื่อเวลาผ่านไป การแสดงผลของ HTML ก็ไม่ได้มีเพียงเบราว์เซอร์เจ้าดังๆ บนหน้าจอคอมพิวเตอร์เท่านั้น HTML จึงถูกพัฒนาและเพิ่มความสามารถมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงเวอร์ชั่นที่ 5 แล้ว
สำหรับ HTML5 นี้เป็นการก้าวกระโดดครั้งสำคัญของภาษามาตรฐานสำหรับการแสดงผลเว็บฯ ก่อนหน้านี้เวลาเราเปิดเว็บไซต์ก็จะเห็นเพียงตัวอักษรและภาพเท่านั้น แต่ในปัจจุบัน ยังมีความสามารถในการแสดงผลด้านกราฟิก เทคนิคลึกล้ำอลังการ กดตรงนี้ไปโผล่ตรงนั้น หรือจะดูหนัง ฟังเพลง เล่นวิดีโอ แทรกมัลติมีเดียหรือเกมลงในเว็บฯ เลย ก็สามารถทำได้ด้วย HTML5 โดย (แทบ) ไม่ต้องพึ่งโปรแกรมเสริมใดๆ จึงทำให้นักพัฒนาทำงานง่ายขึ้นมาก ไม่ต้องกลัวว่าจะเจอปัญหาที่เคยเกิดใน "ยุคสงครามเบราว์เซอร์" อีกต่อไป

สิ้นสุดสงครามมาตรฐานเบราว์เซอร์อันยาวนาน
ก่อนหน้านี้ ปัญหาใหญ่ที่คนทำเว็บฯ ต้องหนักอกหนักใจมาตลอดก็คือ อุตส่าห์เขียนโค้ดเท่ห์ๆ ใส่กราฟิกสวยงาม ผสมเอฟเฟ็กต์ไว้เสียดิบดี ปรากฏว่าไม่สามารถแสดงผลได้แม่นยำในเบราว์เซอร์บางยี่ห้อซะอย่างนั้น
ด้วยเหตุที่ HTML/HTML5 นั้นถูกพัฒนาและผ่านการปูพื้นฐานมาอย่างยาวนานและแข็งแรง ทำให้เบราว์เซอร์รุ่นใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น Mozilla Forefox, Google Chrome, Apple Safari หรือแม้แต่ Microsoft Internet Explorer ที่เคยเป็นเจ้าปัญหาและคู่กัดตลอดกาลของคนทำเว็บฯ (อุ๊ย! เผลอบอกชื่อยี่ห้อจนได้ แต่เบราว์เซอร์เจ้านี้แหละครับที่ประหลาดหน่อย คือเขียนโค้ดยังไงก็มีแต่เจ้านี้แหละที่แสดงผลไม่ค่อยเหมือนชาวบ้าน เพราะเวอร์ชั่นเก่ายังไม่รู้จักเทคนิคใหม่ๆ แต่คนก็ยังใช้กันเยอะเพราะขี้เกียจลงโปรแกรมใหม่)
ซึ่งรุ่นล่าสุดก็สามารถรองรับและแสดงผลความสามารถหลายๆ อย่างใน HTML5 ได้เป็นที่น่าพอใจแล้ว
ซึ่งสำหรับนักออกแบบและพัฒนาเว็บฯ และแอพพลิเคชั่นต่างๆ แล้ว ไม่มีอะไรที่หายเหนื่อยไปกว่าการแสดงผลได้เป๊ะตามที่เขียนโค้ดมาแล้วล่ะ

ลาก่อน Flash
คงยังจำกันได้ว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ไม่ว่าเราจะเข้าเว็บไซต์ไหนๆ ในโลก ก็ต้องเจอเอฟเฟ็กต์ลึกล้ำเต็มหน้าเว็บฯ ที่โหลดช้าสุดๆ เพราะต้องแบกภาระความลึกล้ำ (จนต้องเป็นแถบ Now Loading หมุนๆ และปุ่ม Skip Intro ที่คุ้นตาและน่ารำคาญกันมายาวนาน) นี่เป็นเทรนด์การออกแบบในยุคที่เทคโนโลยี Adobe Flash ยังรุ่งเรือง เข้าเว็บฯ อะไรก็เป็นเว็บฯ แฟลชไปหมด
ซึ่งถ้าจะว่ากันตามจริงแล้ว เทคโนโลยีนี้ไม่ได้เป็นการแสดงผลแบบ Native นะครับ นั่นคือถ้าจะให้แสดงผลแฟลชได้ ผู้ใช้เองจำเป็นต้องติดตั้งปลั๊กอินของบริษัท Adobe เสียก่อน นี่จึงทำให้โลกของมัลติมีเดียบนเว็บฯ ถูกผูกขาดโดยมหาอำนาจ Adobe มายาวนาน ถ้านึกภาพไม่ออกก็นึกถึง YouTube ล่ะกันครับ ว่าคลิปวิดีโอทุกชิ้นที่เราเห็นกันนี้จำเป็นต้องมี Flash Player Plugin ติดตั้งไว้ในเครื่องก่อนนะ ถ้าอย่างนั้นเล่นไม่ได้ แต่แล้วเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป
นักพัฒนาหลายๆ สำนักลุกขึ้นมาบอกว่า "เราน่าจะใช้มาตรฐานกลางในการแสดงผลสิ" เพื่อเว็บฯ จะได้เป็นของทุกคน ไม่ต้องไปง้อบริษัทใดบริษัทหนึ่งให้เขาผูกขาดแล้วนะ
และ HTML5 ก็ถือกำเนิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์เหล่านี้ เพราะมันสามารถเขียนเพื่อให้รองรับการดูหนัง ฟังเพลง และเล่นเกมได้ทดแทน Adobe Flash เป็นอย่างดี จนกระทั่งปัจจุบันเว็บไซต์มัลติมีเดียยักษ์ใหญ่อย่าง YouTube เองก็เปลี่ยนเทคโนโลยีการแสดงผลเป็น HTML5 Video เป็นที่เรียบร้อย

เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อเว็บฯ ไม่ได้อยู่แค่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่การกำเนิดขึ้นของ iPhone รุ่นแรกนั้น ทำให้ความรุ่งเรืองของแฟลชสะดุดกึกอย่างรวดเร็ว เพราะอยู่ดีๆ Apple ก็ประกาศตูมว่า "ไม่เอาแล้วล่ะ แฟลชมันไม่เวิร์ก งั้นมือถือเราเปิดแฟลชไม่ได้แล้วกัน" เท่านี้แหละครับ จบเลย คนใช้สินค้าตระกูล iPhone และ iPad กันทั่วโลกนั้นมากพอที่จะทำให้นักพัฒนาหันมาให้ความสำคัญ และค่อยๆ เปลี่ยนเทคนิคการทำเว็บฯ ให้ไม่ต้องพึ่งปลั๊กอินเสริมกันมากขึ้น
แถมระบบปฏิบัติการมือถือค่ายอื่นๆ ก็เริ่มตีตัวออกห่างจากแฟลชไปสู่มาตรฐาน HTML5 เช่นกัน นี่ก็เป็นการชี้เป็นชี้ตายอนาคตของแฟลชได้เลย ว่ากำลังตายจากเราไปอย่างช้าๆ แล้ว จะเหลืออยู่ก็แค่เว็บฯ ราชการของบ้านเราที่ยังนิยมแสดงเสียงเพลงบนหน้าเว็บฯ พร้อมเทพพนมโปรยดอกไม้ และปุ่ม Skip Intro ไว้ให้กดหนี (ฮาๆ)

เพื่อนสนิทของ HTML5
ถ้าจะให้เปรียบเทียบตัว HTML5 นั้นเหมือนบ้านหนึ่งหลัง ที่มีประตูหน้าต่างพร้อมเข้าอยู่พร้อมใช้งานได้ และอาจจะประดับตกแต่ง เช่น ยกพื้น ทำบันได เคาน์เตอร์ครัวก็พอได้ แต่ก็มีเทคโนโลยีเพื่อนสนิทที่ไปไหนไปกันอีก 2 ตัวนั่นคือ
CSS คือส่วนแสดงผล ที่นักออกแบบสามารถกำหนดสีสัน ตำแหน่ง ลักษณะเวลานำเมาส์ไปแหย่แล้วมีกระต่ายโผล่ออกมาจากโพรง หรือจับก้อนวัตถุในหน้าเว็บฯ ให้ชิดซ้ายชิดขวา
ประดับตกแต่งได้ตามใจ เปรียบเหมือนเฟอร์นิเจอร์หน้าตาดี และสวนสวยๆ ที่อยู่รายล้อมตัวบ้าน ปัจจุบันนี้ CSS ได้พัฒนามาตรฐานมาถึงเวอร์ชั่น 3 แล้ว (เรียกว่า CSS3) และเปิดตัวไล่เลี่ยกับ HTML5 จึงทำงานควบคู่กันได้เป็นอย่างดี
jQuery เป็นชุดคำสั่งยอดนิยมของ JavaScript ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้เพิ่มลูกเล่น และทำให้เว็บฯ มีลักษณะเป็น Interactive ทำให้เว็บฯ ไม่แข็งกระด้าง จับคลิกลากวาง พลิกซ้าย-ขวาได้อย่างสนุกสนาน นี่คงคล้ายๆ โฮมเธียเตอร์เจ๋งๆ เอาไว้อวดแขกที่มาเยี่ยมบ้านได้นั่นเอง
HTML5 คือพาหนะที่นำ "เว็บฯ" มาสู่ทุกครัวเรือน
เพราะ HTML5 เป็นภาษามาตรฐาน ที่ไม่ได้มาอย่างชั่วครั้งชั่วคราว แต่อีกห้าปีสิบปียี่สิบปี มันก็ยังแสดงผลได้เหมือนกับวันแรกที่เขียนโค้ดขึ้นมา ดังนั้นนักพัฒนาเว็บฯ จึงสามารถใช้ HTML5 เป็นโครงหลักในการเขียนโปรแกรมได้หลากหลาย แล้วแสดงผลออกมาในอุปกรณ์อะไรก็ได้ที่รองรับ ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมในตัวระบบปฏิบัติการเอง ลองนึกภาพโปรแกรมที่คุณใช้อยู่นี้ ถูกเขียนขึ้นด้วยโค้ดตัวเดียวกันเป๊ะ ทั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์และบนเว็บไซต์เลย
ตัวอย่างเช่น ชุดโปรแกรม Google Docs ที่สามารถใช้แทนโปรแกรมออฟฟิศในเครื่องได้เป็นอย่างดี คุณสามารถพิมพ์แก้ไขเอกสารได้ในเบราว์เซอร์ไปพร้อมๆ กับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ได้ แล้วบันทึกลงในอากาศโดยไม่ต้องเก็บลงคอมพิวเตอร์เลย หรืออาจจะเป็นเกมออนไลน์ที่เล่นผ่านเว็บฯ แล้วแสดงผลได้ยิ่งใหญ่อลังการสมจริง ทั้งในเบราว์เซอร์คอมพิวเตอร์วางตัก และโทรศัพท์มือถือ แถมยังน่าสนุกก็ตรงที่ทุกวันนี้ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เริ่มรองรับและใช้ HTML5 ในการทำงานกันบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกล้องดิจิตอล โทรทัศน์ หรือแม้แต่ตู้เย็น ไมโครเวฟ เครื่องซักผ้าก็เริ่มมีแล้วนะ!
หากคุณโทรมาภายใน 10 นาทีนี้
โฆษณาจูงใจมาเสียเยอะ ก็คงพอทำให้คุณผู้อ่านได้รู้จักเทคโนโลยี HTML5 กันมาบ้างพอสมควร ขอย้ำว่ามันไม่ใช่เรื่องของอนาคตหรือไกลตัวคุณอีกต่อไปแล้ว แต่มันคือเทคโนโลยีปัจจุบันที่ต้องก้าวตามให้เท่าทัน เพื่อจะได้ไม่ตกขบวนรถไฟ และเปิดโอกาสให้คุณได้ต่อยอดไปสู่ความสำเร็จอื่นๆ ที่กำลังเดินทางมาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ๆ ในไม่ช้า
Note:
- ถ้าบทความนี้มีแต่ตัวอักษรแล้วยังไม่เร้าใจพอ คุณผู้อ่านสามารถคลิกเข้าไปชมตัวอย่างเว็บฯ ที่นำเทคโนโลยี HTML5 มาอวดกันได้ที่ www.html5demos.com และ www.html5rocks.com ครับ
- ดูตัวอย่างงานของเว็บฯ ที่ใช้ HTML5 ได้ที่ www.smashingapps.com/2011/08/24/the-outstanding-use-of-html5-in-web-design-to-grab-your-attention.html
- ภาพโลโก้ของ HTML5 มีทั้งแบบเวกเตอร์ (SVG) และภาพธรรมดา www.w3.org/html/logo/#downloads
Profile นักเขียน
@iannnnn ปรัชญา สิงห์โต

5/09/2556

วิธีเลือก ups



วามหมายของ UPS
           UPS เป็นคำย่อมาจากคำว่า Uninterruptible Power Supply หรือ "เครื่องสำรองไฟฟ้าและปรับแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติ" ถ้าแปลตรงตัว หมายถึง แหล่งจ่าย
พลังงานต่อเนื่อง
อาจกล่าวได้ว่า UPS ก็คือ อุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่สามารถทำการจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าและ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ได้อย่างต่อเนื่องแม้ในเวลาที่เกิดไฟดับหรือเกิดปัญหา แรงดันไฟฟ้าผันผวนผิดปกติ โดย UPS จะทำการปรับระดับแรงดันไฟฟ้าให้คงที่อยู่ในระดับที่ปลอดภัยต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์
UPS มีหน้าที่หลัก คือ ป้องกันความเสียหายที่สามารถเกิดขึ้นกับอุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอ นิคส์ (โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เชื่อมต่อ) อันมีสาเหตุจากความผิดปกติของพลังงานไฟฟ้า เช่น ไฟตก, ไฟดับ, ไฟกระชากและไฟเกิน เป็นต้น รวมถึงมีหน้าที่ในการจ่ายพลังงานไฟฟ้าสำรองจากแบตเตอรี่ให้แก่อุปกรณ์ไฟฟ้า หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์เมื่อเกิดปัญหาทางไฟฟ้า

หลักการทำงานทั่วไปของ UPS
          โดยทั่วไปแล้ว เมื่อ UPS รับพลังงานไฟฟ้าเข้ามา ไม่ว่าคุณภาพไฟฟ้าจะเป็นอย่างไรก็จะสามารถจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ ไฟฟ้าได้เป็นปกติ รวมถึงทำการจ่ายพลังงานไฟฟ้าสำรองที่เก็บไว้ในแบตเตอรี่ให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งหลักการของ UPS ก็คือ ใช้วิธีการแปลงไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) เป็นไฟฟ้ากระแสตรง (DC) แล้วเก็บสำรองไว้ในแบตเตอรี่ส่วนหนึ่ง และในกรณีที่เกิดปัญหาทางไฟฟ้า (เช่น ไฟดับ หรือคุณภาพไฟฟ้าผิดปกติ เป็นต้น) อุปกรณ์ไฟฟ้าไม่สามารถใช้พลังงานไฟฟ้าที่รับมาได้ UPS ก็จะเปลี่ยนไฟฟ้ากระแสตรง (DC) จากแบตเตอรี่ ให้กลายเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) แล้วจึงจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าตามปกติ

ส่วนประกอบสำคัญของ UPS
           เครื่องประจุแบตเตอรี่ (Charger) หรือ เครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า AC เป็น DC (Rectifier) ทำหน้าที่รับกระแสไฟฟ้า AC จากระบบจ่ายไฟ แปลงเป็นกระแส
ไฟฟ้า DC จากนั้นประจุเก็บไว้ในแบตเตอรี่
เครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) ทำหน้าที่รับกระแสไฟฟ้า DC จากเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า AC เป็น DC หรือแบตเตอรี่ และแปลงเป็นกระแสไฟฟ้า AC สำหรับใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์
แบตเตอรี่ (Battery) ทำหน้าที่เก็บพลังงานไฟฟ้าสำรองไว้ใช้ในกรณีเกิดปัญหาทางไฟฟ้า โดยจะจ่ายกระแสไฟฟ้า DC ให้กับเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้าในกรณีที่ไม่สามารถรับกระแสไฟฟ้า AC จากระบบจ่ายไฟได้
ระบบปรับแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติ (Stabilizer) ทำหน้าที่ปรับแรงดันไฟฟ้าให้คงที่และสม่ำเสมออยู่ในระดับที่ปลอดภัยต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า
  
ประโยชน์ของ UPS
        UPS สามารถช่วยป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับอุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอ นิคส์ (โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ) อันเนื่องมาจากกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติได้ (เช่น จากความบกพร่องของระบบจ่ายพลังงานไฟฟ้าเอง หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติ - ฝนตกฟ้าคะนอง พายุฝน หรือจากการรบกวนของอุปกรณ์ไฟฟ้าในอาคารที่ใช้กระแสไฟฟ้าไม่สม่ำเสมอ ฯลฯ) ซึ่งกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติในแต่ละประเภท อาจก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ได้ โดย UPS จะทำหน้าที่ป้องกัน
คือ  จ่ายพลังงานไฟฟ้าสำรองให้แก่อุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ เมื่อเกิดไฟดับหรือไฟตก เพื่อให้มีเวลาสำหรับการ Save ข้อมูล และไม่ทำให้ floppy disk และ hard disk เสียปรับแรงดันไฟฟ้าให้อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าและอุ ปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ เมื่อเกิดปัญหาทางไฟฟ้า เช่น ไฟตก, ไฟดับ, ไฟกระชาก และไฟเกิน เป็นต้น      ป้องกันสัญญาณรบกวนทางไฟฟ้าที่สามารถสร้างความเสียหายต่อข้อมูลและ อุปกรณ์ไฟฟ้าได้
ชนิดของ UPS
          Offline UPS หรือ Standby UPS       สภาวะ ไฟฟ้าปกติ อุปกรณ์ไฟฟ้า (Load) จะได้รับพลังงานไฟฟ้าจากระบบจ่ายพลังงานไฟฟ้า (Main) จากการไฟฟ้าโดยตรง ในขณะเดียวกัน เครื่องประจุกระแสไฟฟ้า (Charger) จะทำการประจุกระแสไฟฟ้าให้กับแบตเตอรี่ไปด้วย แต่เวลาที่ไฟฟ้าดับ แบตเตอรี่จะจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) เพื่อแปลงกระแสไฟฟ้าและจ่ายให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้า โดยใช้ตัวสับเปลี่ยน (Transfer Switch) สำหรับเลือกแหล่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าระหว่างระบบจ่ายพลังงานไฟฟ้าหรือเครื่อง แปลงกระแสไฟฟ้ากรณีที่สภาวะไฟฟ้าปกติหรือกระแสไฟฟ้าผิดปกติเกิดขึ้นในช่วง เวลาที่สั้นมากจนตัวสับเปลี่ยน (Transfer Switch) สลับแหล่งจ่ายไฟฟ้าไม่ทัน พลังงานไฟฟ้าที่จ่ายให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าจะมาจากระบบจ่ายพลังงานไฟฟ้าโดยตรง ดังนั้น ถ้าคุณภาพไฟฟ้าจากระบบจ่ายพลังงานไฟฟ้าไม่ดี (เช่น ไฟตก, ไฟดับ, ไฟกระชาก หรือมีสัญญาณรบกวน ฯลฯ) อุปกรณ์ไฟฟ้าก็จะได้รับพลังงานไฟฟ้าคุณภาพไม่ดีเช่นเดียวกันเนื่องจาก UPS ชนิดนี้ถูกออกแบบให้ป้องกันกรณีเกิดไฟดับเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่สามารถป้องกันปัญหาแรงดันไฟฟ้าที่ผันผวนและสัญญาณรบกวนได้ จึงทำให้มีราคาถูกกว่า UPS ชนิดอื่นๆ และไม่เหมาะกับการใช้งานในบางพื้นที่ เช่น สถานที่ใกล้แหล่งกำเนิดกระแสไฟฟ้า อาทิ เขื่อน, สถานีไฟฟ้า และสถานีไฟฟ้าย่อย เป็นต้น รวมถึงไม่เหมาะกับการใช้งานในประเทศไทยด้วย เนื่องจากเกิดไฟตกบ่อยครั้ง
คุณสมบัติของ Offline UPS หรือ Standby UPS
    - ราคาถูก
    - ป้องกันปัญหาไฟดับได้เพียงอย่างเดียว
    - ไม่เหมาะสำหรับใช้งานในพื้นที่ที่อยู่ใกล้แหล่งกำเนิดไฟฟ้า, สถานีไฟฟ้า และโรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ
    - อายุการใช้งานของแบตเตอรี่และ UPS สั้น
Online Protection UPS หรือ Line Interactive UPS with Stabili
         จะพบว่า มีความคล้ายคลึงกับ Offline UPS มาก แต่จะมีส่วนที่เพิ่มขึ้นมา คือ ระบบปรับแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติ (Stabilizer) ในขณะที่สภาวะไฟฟ้าปกติ อุปกรณ์ไฟฟ้า (Load) จะได้รับพลังงานไฟฟ้าจากระบบจ่ายพลังงานไฟฟ้า (Main) จากการไฟฟ้า โดยผ่านระบบปรับแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัตินี้ ซึ่งจะมีหน้าที่รักษาระดับแรงดันไฟฟ้าให้คงที่ ป้องกันปัญหาไฟตก, ไฟเกิน และไฟกระชาก เป็นต้น พร้อมกันนี้ เครื่องประจุกระแสไฟฟ้า (Charger) ก็จะทำการประจุกระแสไฟฟ้าเก็บไว้ในแบตเตอรี่ เมื่อไฟฟ้าดับจะจ่ายพลังงานให้กับเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) ทำการแปลงกระแสไฟฟ้า และจ่ายให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้า โดยใช้ตัวสับเปลี่ยน (Transfer Switch) สำหรับเลือกแหล่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าระหว่างระบบปรับแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติหรือ เครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า UPS ชนิดนี้ถูกพัฒนามาจาก Offline UPS โดยเพิ่มระบบป้องกันแรงดันไฟฟ้าสูงหรือต่ำอัตโนมัติ (Stabilizer) เพื่อป้องกันปัญหาทางไฟฟ้า ช่วยให้ UPS ไม่จำเป็นต้องจ่ายพลังงานไฟฟ้าสำรองจากแบตเตอรี่ทุกครั้งที่ไฟตกหรือไฟเกิน ไม่มากนักOnline Protection UPS หรือ Line Interactive UPS with Stabilizer จัดได้ว่าเป็น UPS ที่นิยมมากที่สุดในประเทศไทยขณะนี้
ราคาไม่แพงและคุณภาพไฟฟ้าที่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้
คุณสมบัติของ Online Protection UPS หรือ Line Interactive UPS with Stabilizer
    - ราคาไม่แตกต่างจาก Offline UPS หรือ Standby UPS
     - เหมาะสำหรับใช้งานในพื้นที่ที่มีความผันผวนของแรงดันไฟฟ้ามากๆ เช่น ประเทศไทย, พม่า, ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ฯลฯ
     - ไม่เหมาะสำหรับนำไปใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีความไวต่อคุณภาพของกระแสไฟฟ้ามากๆ เช่น เครื่องมือแพทย์และเครื่องจักรในโรงงาน ฯลฯ
     - มีระบบปรับแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติ (Stabilizer) เพื่อป้องกันปัญหาไฟเกินและไฟตก
     - สัญญาณรบกวนทางไฟฟ้าบางอย่างที่ไม่เป็นอันตรายต่ออุปกรณ์ไฟฟ้ายังสามารถผ่านเข้าไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้าได้
     - อายุการใช้งานของแบตเตอรี่และ UPS ยาวนาน

True Online UP
ผังแสดงการทำงาน จะพบว่า True Online UPS เป็น UPS ที่มีศักยภาพสูงสุด กล่าวคือ เครื่องประจุกระแสไฟฟ้า (Charger) และเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) จะทำงานตลอดเวลา ไม่ว่าคุณภาพไฟฟ้าจะเป็นอย่างไร ก็สามารถจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้า (Load) ได้ตามปกติ ยกเว้นกรณีเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้าเสีย จึงจะจ่ายพลังงานไฟฟ้าจากระบบจ่ายพลังงานไฟฟ้า (Main) จากการไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้า (แต่ไม่ควรใช้งานต่อไปหากเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้าเสีย)True Online UPS เป็น UPS ที่มีศักยภาพสูงที่สุดในจำนวน UPS ที่มีใช้งานอยู่ สามารถป้องกันปัญหาทางไฟฟ้าได้ทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็น ไฟดับ, ไฟตก, ไฟเกิน หรือสัญญาณรบกวนใดๆ และให้คุณภาพไฟฟ้าที่ดี ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ UPS ชนิดนี้มีราคาสูงกว่า UPS ชนิดอื่นๆ
คุณสมบัติของ True Online UPS
   - ราคาค่อนข้างสูง
     - มีศักยภาพสูงสุด สามารถป้องกันปัญหาทางไฟฟ้าได้ทุกกรณี
     - ไฟฟ้ากระแสสลับที่อุปกรณ์ไฟฟ้าจะได้รับจาก UPS ชนิดนี้ จะเป็นไฟฟ้าที่มีคุณภาพสูง มีความเที่ยงตรงของระดับแรงดันไฟฟ้า
       และปราศจากสัญญาณรบกวนใดๆ
     - กรณีไฟฟ้าดับหรือขาดช่วง UPS จะนำพลังงานสำรองในแบตเตอรี่มาแปลงเป็นไฟฟ้ากระแสสลับเพื่อจ่ายให้แก่อุปกรณ์ไฟฟ้าได้ในทันที


วิธีเลือก ups

สวัสดีครับในหัวข้อนี้ผมจะมาแนะนำถึงวิธีการเลือกซื้อ UPS หรืออุปกรณ์สำรองไฟไว้เพิ่อป้องกัน ปัญหาเกี่ยวกับไฟฟ้าที่จะทำอันตรายต่ออุปกรณ์ต่อเชื่อมของคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นการเกิดไฟดับ ไฟกระชาก ไฟตก การเกิดโอเวอร์โหลด ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวนี้สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
Image
โดยหลักการในการซื้อนั้นมีดังนี้
      1. ชนิดของ UPS ในปัจจุบันนั้นมีอยู่ 3 ชนิดด้วยกันคือ
             - True online UPS ซึ่งเหมาะกับอุปกรณ์ที้ใช้ในงานที่ไม่สามารถทำผิดพลาดได้เช่น เครื่องมือแพทย์ ระบบการเงินของธนาคาร เป็นต้น มีราคาที่แพงมาก
            -  Standby UPS ซึ่ง ตัวนี้เหมาะสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปตามบ้านเรือนหรือสำนักงานเนื่องจากว่ามี ราคาที่ค่อนข้างราคาถูก และมีความสามารถในการป้องกันไฟฟ้าได้ต่ำ
            -  Line Interactive UPS เป็น ชนิดที่เหมาะสำหรับการใช้งานตั้งแต่บุคคลทั่วไปถึงระดับองค์กรณ์ใหญ่ๆ ซึ่งได้มาตรฐานและมีราคาที่เหมาะสม ไม่แพงเกินไป ถือว่าชนิดนี้เป็นตัวที่มีผู้ใช้งานมากที่สุด
     2. ขนาดของ UPS และความจำเป็นในการใช้งาน
โดย ก่อนที่เราจะซื้อไปนั้น เราต้องจำเป็นต้องรู้ก่อนว่าเราจะนำไปใช้งานแบบไหน และต้องเลือกขนาดให้เหมาะสมสำหรับอุปกรณ์ที่เราจะนำไปใช้ด้วย

     3. ความสามารถในการสำรองไฟ  UPS แต่ละตัวก็จะมีความสามารถในการสำรองไฟฟ้าหรือค่า Backup Time ที่แตกต่างกัน ซึ่งค่านี้หมายความว่า ระยะเวลาที่ UPS (ยูพีเอส) ของคุณสามารถที่ส่งกระแสไฟฟ้าไปให้อุปกรณ์ต่อพ่วงได้ โดยนับหลังจากเกิดกระแสไฟฟ้าดับหรือเหตุขัดข้องเกี่ยวกับไฟฟ้าต่างๆไปจนถึง เวลาที่ UPS (ยูพีเอส) ไม่สามารถดึงพลังงานของแบตเตอรี่เพื่อส่งให้อุปกรณ์ต่อพ่วงต่อไปได้ โดยระยะเวลาดังกล่าวนั้นจะมีค่าที่แตกต่างกันออกไปตามความสามารถของ UPS
     4. จำนวนพอร์ตการเชื่อมต่อ UPS อันนี้สามารถเลือกได้ตามความเหมาะสมของแต่ละคนได้เลยครับ
     5. การรับประกัน อันนี้สำคัญมา เนื่องจากถ้าเครื่องเรามีปัญหา เราสามารถนำส่งบริษัทที่รับประกันเพื่อแก้ไขได้แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย


1 เลือกชนิด ของ ups

1.1 true online
เป็นแบบที่ต้องการความเรียบของกระแสไฟเป็นพิเศษ เพราะ อุปกรณ์ computer จะรับกระแสไฟจาก bettery ของ ups จะไม่ได้รับ จาก power supply โดยตรง จึงทำให้กระแสไฟที่ออกมาจาก bettery นั้นค่อนข้างเสถียร แต่มีราคาค่อนข้างสูงเหมาะสำหรับอุปกรณ์ computer ที่มีราคาแพง เช่นเครื่องมือทางการแพทย์


1.2 offline protection
เป็นแบบที่เพียงต้องการป้องกันไฟฟ้าดับ หรือ ตกเท่านั้น และในช่วง การย้าย ในขณะที่ไฟฟ้าดับนั้น คลื่นไฟฟ้าจะหาย ไป 2 ms.

1.3 line interactive
จะคล้ายกับแบบ offline แต่จะเพิ่มวงจรปรับแรงดัน ขาเข้า คือจะสามารถรับไฟฟ้าที่มีแรงดันสูงกว่าปกติ แต่จะปรับให้แรงดันขาออกให้ราบเรียบได้ แต่ก็เช่นเดียวกัน ในขณะที่ไฟฟ้าดับ คลื่นไฟฟ้าจะหายไป 2 ms. ซึ่งชนิดนี้เหมาะสำหรับ server ขนาดเล็กๆ หรือ computer ทั่วๆไปค่ะ


2 เลือกขนาดกำลังไฟฟ้าของ ups
check ก่อนว่าอุปกรณ์ computer ของเรานั้นใช้กำลังไฟฟ้าเท่าไหร่ เช่น computer ตามบ้าน ใช้ 350 VA เราควรเลือก ups ที่มีกำลังมากกว่า 350 VA เป็นต้น


3 ถามตัวเองว่าต้องการพลังงานสำรองนานเท่าไร่ในขณะที่เกิดไฟฟ้าดับ
โดยทั่วไป ups จะสำรองได้ประมาณ 15-30 นาทีแต่ถ้าเราต้องการให้นานกว่านั้น อาจจะต้องใช้ ups ที่ใช้ bettery แบบ High Rate ซึ่งจะสำรองได้สูงสุดถึง 40 นาทีเลยทีเดียวค่ะ

4 ระยะทางระทางและสถานที่ในการติดตั้ง
ถ้ามีพื่นที่จะกัดก็ควรจะใช้ ups ที่ขนาดใหญ่ซึ่งจะสามารถรองรับ computer ได้หลายๆเครื่องเพื่อประหยัดพื้นที่ หรือถ้าอุปกรณ์ computer อยู่ห่างไกลกันมาก ก็ควรใข้ แบบ 1 ต่อ 1

5 มีระบบตรวจสอบ status ของ ups หรือไม่
เช่นเมื่อ ไฟฟ้าดับไปนานๆ เราอาจจะต้องการรู้ว่า ระยะเวลาที่เหลือของ bettery ได้นานเท่าไหร่ หรือ ไฟฟ้าดับไปช่วงไหนบ้าง

6 การรับประกันสินค้า
เรื่องนี้มีความสำคัญมาก แบบ on site หรือ on call ควรตรวจสอบให้ดี เพราะบางทีเราอาจจะต้องของความช่วยเหลือพิเศษ

วิธีการคำนวณค่า VA

โดยทั่วไปอุปรณ์คอมพิวเตอร์จะบอกมาเป็น 2 แบบ คือ


VA = Voltage (RMS) x Current (RMS)

SERVER แบบแรก เช่นบอกมาเป็น voltage กับ Amp คือ 240V 1.5A = 220x1.5= 360 VA
SCANER แบบสอง เช่น 100 Watt = 100x1.4 = 140 VA

ถ้าเราจะหาเครือ่งสำรองไฟทั้ง server และ scaner ต้องหา ups ที่มีกำลัง มากกว่า 360 + 140 = 500 VA

วิธีการเลือกซื้อ Server

วิธีการเลือกซื้อ server

บางทีในช่วงเวลาที่ business ของเราเติบโตขึ้น และ เราไม่สามารถที่จะใช้ computer เพียงแค่ PC 2-3 ตัวในธุรกิจของเรา ซึ่งการเพิ่ม server เข้าไปใน network มันอาจจะเป็นการเพิ่มผลประกอบการและช่วยในการทำให้ business ของเราเติบโตและพัฒนาขึ้น การเลือก server ที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งนั้น มันอาจจะเป็นเรื่องที่ยาก เพราะ server นั้นมีหลายบทบาทในตัวของมัน อย่างไรก็ตามเราจะมาพูดคุยกันถึงพื้นฐานในการเลือกซื้อ server สำหรับธุรกิจของคุณ
กำหนดบทบาทหน้าที่ของ server ในธุรกิจก่อน
ปกติแล้วโดยพื้นฐาน จะทำหน้าที่ เป็น file servers ,printer servers  ,Application server และ Web server
File server สามารถให้ ข้อมูลทางธุรกิจ เก็บไว้ที่ computer เพียงเครื่องเดียวคือ server แทนที่จะเก็บข้อมูลไว้หลายๆเครื่อง
Printer Server สามารถให้ printer หลายๆเครื่อง connect กับ server และ user ทุกคนสามารถใช้เครื่อง printer ได้ โดยที่ printer ไม่ได้ต่ออยู่กับ computer เครื่องใดเครื่องหนึ่งในองค์กร ซึ่งทำให้ computer เครื่องนั้นใช้ printer ได้เพียงเครื่องเดียว
Application server  โดยทั่วไป บาง application PC ไม่ความสามารถ ที่มากพอที่จะ run database ขนาดใหญ่ได้ เช่น ระบบ email ดังนั้น server ก็ถูกเป็นตัวเลือกที่จะนำไปใช้
Web server บ่อยครั้งที่ server ถูกนำไปใช้ทำ website เพื่อให้ กว่า ร้อยหรือ พัน user ที่เข้ามาใน web ของธุรกิจของคุณ
การเลือก hardware ให้เหมาะสมตามที่เราต้องการ server เล็กๆ สำหรับ file หรือ printer อาจจะต้องการเพียงแค่ server ที่ spec สูงกว่า PC ทั่วไปนิดหน่อย  เพียงแค่ single หรือ dual processor server ก็เพียงพอต่อความต้องการ แต่สำหรับ application server อาจจะต้องการ multi core server และ RAM กับ hard disk ที่มากว่าถึงจะเข้ากับความต้องการ  แต่ส่วน internet server นั้นต้องการ process มากที่สุด เช่นเดียวกับ RAM และ hard disk
การเลือกระบบ Redundancy หรือ ระบบควบคุมเวลา hard disk ของ server ตัวหลัก เกิดการเสียหาย จะมีให้เลือกหลายแบบ  ยกตัวอย่างได้ ดังนี้
RAID 0 คือ มี hard disk 2 ลูกแต่ละตัวมีความจุ ตัวละ 500 Gb เราจะสามารถงานใช้ได้ 1000 Gb แต่เมื่อใดก็ตามที่ลูก แรกพัง ลูกที่สองก็จะไม่สามารถใช้งานได้เช่นกัน
RAID 1 คือ มี hard disk 2 ลูกแต่ละตัวมีความจุ ตัวละ 500 Gb เราจะสามารถใช้ได้เพียง 500 Gb คือเท่ากับ เรามี hard disk เพียงลูกเดียวแต่เมื่อใดก็ตามที่ลูก แรกพัง ลูกที่สองจะทำงานแทนทันที
RAID 10 หรือ RAID 1+0 คือ การนำเอาข้อดี ของ RAID 0 และ RAID 1 ไว้ด้วยกัน เช่น เรามี hard disk 6 ลูก เราให้ สามลูกแรก เป็น ส่วนที่ใช้งาน จริง ส่วน สามลูกหลัง ไว้เป็น backup เมื่อ ลูกใดลูกหนึ่งใน สามลูกแรกเกิดติดขัด สามลูกหลัง จะทำงานแทนทันที แต่ข้อเสียคือเราต้องเพิ่ม hard disk ทีละสองลูก ให้กับส่วนที่ใช้งานและ ส่วนที่ backup ด้วย
               
RAID 3 (N+1) จะต้องใช้ hard disk อย่างน้อย 3 ตัวให้ตัวที่ 3 เป็น backup เช่นมี hard disk 3 ตัวความจุตัวละ 200 Gb เราจะสามารถเขียน hard disk ได้ 400 Gb ตัวที่ 3 อีก 200 เป็น ตัว backup ในกรณีลูก ที่ 1 หรือ ลูกที่ 2 เกิดติดขัด ลูกที่ 3 จะทำงานแทนทันที โดยข้อมูลของลูกที่เสียยังอยู่ครบแต่จะไปอยู่ในลูกที่ 3 แทน
RAID 5 (N+1)  นั้นจะเหมือนกับ RAID 3 แต่จะเร็วกว่า และสามารถเปลี่ยน hard disk ลูกที่เสียในขณะที่ระบบยังทำงานอยู่คือไม่ต้อง down ทั้ง server
RAID 6 (N+2)  เหมือน RAID 5 แต่จะดีกว่า RAID 5 ตรงที่ว่ามี backup hard disk ถึง สองลูก
การเลือก Vendor
                ปัจจัยหลักในการเลือก คือ service เช่น on call 24 hour หรือ on-site support เพื่อที่คุณจะสามารถขอความช่วยเหลือเมื่อคุณต้องการ อย่างไรก็ตามเมื่อใดที่คุณต้องการคำปรึกษาช่วยตัดสินใจ กับความต้องการ server ของคุณ และสามารถติดตั้งระบบ การดำเนินการ และ การบำรุงรักษา ให้นึกถึงเรา  RICH MOON SOFT SERVICE