5/31/2554

รายละเอียดข้อแตกต่างระหว่าง VPN , Remote ,DDNS และ DNS

 
 
 
computer เขียน:ก่อนอื่นต้อง ขอขอบคุณครับ กับคำตอบที่ รวดเร็ว
-----------------------------------------------------------
ได้ทำการสร้าง user และ Password แล้ว ที่เมนู PPTP Server ขอถามดังนี้
1.สร้าง PPTP ของ Windows Xp จาก Cleint จากภายใน (คอมฯ อยู่ที่เดียวกับ Rv042 และต่อตรงกับ Rv042) แล้ว Connect ได้


  • Connect จากภายในเพื่อเข้ามาภายในของเราเองเหรอครับ ? อืมม แปลกดีนะครับ เราก็ไม่เคยลองแบบนี้ซะด้วยครับ :D


2.สร้าง PPTP ของ Windows Xp จาก Remote Cleint จากภายนอก ( คอมฯ อยู่ที่ไม่ได้อยู่ที่เดียวกับ Rv042 และไม่ที่ต่อตรงกับ Rv042 = ตัวที่ต้องการใช้ VPN )
แล้ว Connect ไม่ได้
จะมีข้อความประมาณว่า " Server หรือ Computer Not RESPONSE.."
แบบนี้ ต้องกำหนด Port Forwording แล้วถ้าต้องกำหนด จะกำหนดที่เมนูไหน และมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง


  • ไม่ต้องกำหนดอะไรเลยครับ แค่สร้าง PPTP User / Password บน Linksys RV042 ก็ใช้งานได้ทันทีครับ ค่อนข้างจะเป็นวิธีการใช้ PPTP Server ที่ง่ายที่สุดแล้วครับ


3.ขอรายละเอียดข้อแตกต่างระหว่าง VPN , Remote ,DDNS และ DNS


  • คำถามค่อนข้างจะกระจายมากเลยนะครับ แบบนี้ก็ต้องว่ากันยาวนิดนึงนะครับ อธิบายได้ดังนี้ครับ
    1. Remote -> ผมเข้าใจเอาว่าน่าจะหมายถึงการทำ Remote Management นะครับ ซึ่งซอฟท์แวร์ที่นิยมกันส่วนใหญ่ก็จะมี 3 ตัวครับ คือ VNC, Windows Remote Desktop Connection และ Team Viewer โดยทั้ง 3 ตัวจะถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ แบบ Direct Remote กับ In-Direct Remote

      • กลุ่มแรกครับ Direct Remote -> พวกนี้จะได้แก่ VNC และ Team Viewer โดยการทำงานของกลุ่มนี้จะเข้าไป take-over หน้าจอ + mouse + keyboard ของเครื่องปลายทางเอาไว้ทั้งหมด โดยผู้ใช้งานที่เครื่องปลายทางก็จะสามารถเห็นการใช้งานของเราไปด้วยพร้อมๆ กัน เหมือนกับกำลังดูคนใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราครับ :D (หรือจะเรียกอีกแบบว่า foreground process - remote control ก็ได้ครับ)
      • กลุ่มที่สอง In-Direct Remote ->พวกนี้จะได้แก่ Windows Remote Desktop Connection การทำงานของแบบนี้จะเป็นแบบซ่อนการทำงานไว้ด้านหลัง หรือที่เราเรียกว่า Background process ครับ กล่าวคือ ผู้ใช้งานที่เครื่องปลายทางจะไม่เห็นการทำงานของเราครับ ซึ่งก็เหมือนกับเราทำงานอยู่เบื้องหลัง และผู้ใช้งานก็ทำงานได้ตามปกติครับผม

    2. VPN หรือ ย่อมาจาก Virtual Private Network หรือการสร้างเครือข่ายส่วนตัวเสมือนก็ได้ครับ ต้องย้อนกลับไปเมื่อซัก 10-15 ปีที่แล้วครับ การเชื่อมต่อระหว่างบ้าน สำนักงาน ไม่ได้สะดวกสบายเหมือนทุกวันนี้ครับ เช่น ถ้าเราต้องการเชื่อมต่อสำนักงานระหว่าง กรุงเทพ - ชลบุรี สิ่งที่เราต้องการก็คือ การเชื่อมต่อแบบ Private network เช่น Leased Line / FrameRelay หรือ ช่วงหลังก็จะเป็น MPLS เป็นต้น


      โดยหลักการของ การเชื่อมต่อแบบ Private Network ก็คือ ผู้ให้บริการเครือจ่าย เช่น CAT, TOT, UIH, ADC เค้าก็จะเอาสายมาจิ้มที่สำนักงานกรุงเทพ จากนั้นก็จะลากฝั่งปลายไปจิ้มที่ชลบุรี (อธิบายให้เห็นภาพง่ายๆ นะครับ แต่จริงๆ แล้วเป็นการทำ Circuit Switch หรือ Packet Switch ของผู้ให้บริการครับ :D ) ดังนั้นเมื่อเรามีสายมาจิ้มทั้ง 2 สาขา เราก็สามารถเอา Router มาเชื่อมต่อระหว่างสาขา เพื่อใช้รับ-ส่งข้อมูล, ใช้โปรแกรม และอื่นๆ อีกมากกมายครับ โดยค่าใช้จ่ายในตอนนั้นถ้าจำได้ที่ความเร็วประมาณ 64 Kbps (ช้ามากกกก) ค่าใช้จ่ายจะประมาณเดือนละ 20,000 บาท ครับผม


      ต่อมา เมื่อ Internet เริ่มเข้ามาเป็นที่แพร่หลายกันมากขึ้น เกิดการลงทุนครั้งใหญ่เกิดขึ้น บริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลกเกิด Internet Boom ดังนั้นจึงมีเม็ดเงินจำนวนมากมายมหาศาลเข้ามาลงทุนในธุรกิจ Internet ครับ ซึ่งเป็นผลโดยตรงที่ทำให้เมื่อมีการแข่งขันกันมากขึ้น ราคาค่าบริการและคุณภาพก็จะสูงขึ้นตามครับ เช่น ในบ้านเราตอนนี้จะสังเกตว่า ADSL Internet ในปัจจุบัน มีราคาถูกมาก + ความเร็วเพิ่มขึ้นทุกวันๆ ผมว่าซักพักคงได้เห็นความเร็วระดับ 100 Mbps เหมือนที่เกาหลีครับ


      ดัง นั้นจึงมีฝรั่งหัวใส ได้คิดว่า เออออออ ถ้าเป็นแบบนี้เราเอา Internet ที่ราคาถูกมาใช้ทำเป็น Private Network ถ้าจะดีกว่าการไปเช่าสายแบบ Private แบบเดิมที่มีราคาต่อความเร็วที่แพงมาก ดังนั้นจึงเริ่มการวิจัยเทคโนโลยี VPN ขึ้นมาครับ โดยวัตถุประสงค์ก็คือ เมื่อเราจะใช้ Internet มาทำงานที่เป็นแบบ Private นั้น จำเป็นที่จะต้องมีความปลอดภัยของข้อมูลในระหว่างรับ-ส่งกันผ่าน Internet ที่สูงสุดเพื่อป้องป้องข้อมูลสำคัญของเราครับผม นี่ละครับจึงเป็นที่มาของการทำ VPN


      เพิ่มเติมอีกนิดครับ ตอนนี้ VPN แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คร่าวๆ ตามความคิดของผมเองนะครับ คือ แบบ 1 Phase กับ แบบ 2 Phase โดย Phase แสดงถึงการเข้ารหัสข้อมูล ดังนั้น 1 Phase ก็คือการเข้ารหัสข้อมูลแค่ 1 ชั้น ส่วน 2 Phase ก็คือการเข้ารหัสข้อมูล 2 ชั้นครับ ดังนั้นความปลอดภัยของข้อมูลก็จะแตกต่างกัน แต่ว่าความเร็วก็จะต่างกันด้วยนะครับ เพราะยิ่งถ้าเราเข้ารหัสข้อมูลมาก ก็จะทำให้ VPN Router ทำงานหนักไปด้วยครับ


      โดยถ้าเป็นแบบ 1 Phase นั้นก็จะได้แก่ PPTP, L2TP เป็นต้นครับ พวกนี้จะเข้ารหัสแค่ 1 ชั้น ความปลอดภัยก็น้อยลงไปหน่อย แต่ก็ถือว่า OK นะครับ สิ่งที่ได้มาก็คือความเร็วในการเชื่อมต่อที่สูงขึ้น แบบนี้เราอาจจะเรียกว่าเป็นการทำ VPN แบบสร้างท่อเพีบงอย่างเดียว (Tunneling VPN)


      สำหรับพวก 2 Phase เราจะเรียกว่า IPSec VPN ครับ พวกนี้จะทำการเข้ารหัสข้อมูล 2 ชั้น โดยทำการสร้างท่อขึ้นมาเหมือนแบบที่ 1 และยังเพิ่มความปลอดภัยเข้าไปอีก โดยการเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งผ่านเข้าไปในท่ออีกด้วยครับ สิ่งที่ตามมาก็คือ ความปลอดภัยสูงขึ้นครับ แต่จะช้าหน่อย และถ้า VPN Router ตัวเล็กๆ นี่ก็จะออกอึดๆ ละครับ :D

    3. DNS สำหรับ DNS นั้นมีหลายท่ายหมายเว็บอธิบายไว้อย่างละเอียดดีมากครับ ผมเลยขอแอบเอามาแปะหน่อยนะครับ ขอบคุณเจ้าของเว็บ http://www.mindphp.com สำหรับข้อมูลดีๆ นะครับ :D



      * บทความนี้แอบคัดลอกมาจาก http://www.mindphp.com/modules.php?name ... le&sid=115 เพื่อนำมาเผยแพร่ให้ความรู้ในสังคมออนไลน์ของเราต่อนะครับ ขอบคุณเจ้าของเว็บอีกครั้งครับ

      DNS คือ DNS คืออะไร มาทำความรู้จักกัน DNS Error ได้ DNS ของ true คือ อะไร มาดูกัน

      ประวัติความเป็นมาของระบบ DNS

        ใน ช่วงศตวรรษที่ 90 ในขณะที่การใช้งานอีเมลล์เริ่มเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย จำนวนเครือข่ายที่เชื่อมต่อมายังเครือข่าย ARPA NET ได้เพิ่มจำนวนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้บริการเครือข่ายแบบรวมศูนย์ของ SRI ( The NIC ) เริ่มประสบปัญหาในการจัดการระบบฐานข้อมูลซึ่งใช้ในการอ้างอิงถึงโฮสท์ที่ เชื่อมต่อมาจากเครือข่ายอิสระต่างๆ ที่มีโครงสร้างการทำงานที่แตกต่างกัน โดยในขณะนั้น การเพิ่มรายชื่อโฮสท์แต่ละเครื่องเข้ามาในเครือข่าย ARPA NET จำเป็นต้องส่งข้อมูลโดยการ FTP เข้ามาปรับปรุงข้อมูลในไฟล์ Host Table ที่ SRI เป็นผู้ดูแล ซึ่งจะมีการปรับปรุงข้อมูลเพียงสัปดาห์ละ 2 ครั้งเท่านั้น ทำให้การจัดการข้อมูลมีความล่าช้าและไม่ยืดหยุ่น นอกจากนี้เครือข่ายต่างๆ ที่เข้ามาเชื่อมต่อต่างก็ต้องการอิสระในการจัดการบริหารระบบของตนเองจึงเกิด แนวความคิดที่กระจายความรับผิดชอบในการจัดระบบนี้ออกไป โดยแบ่งการจัดพื่นที่ของโลกเสมือนนี้ออกเป็นส่วนๆ โดยกำหนดให้โฮสท์แต่ละเครื่องอยู่ภายใต้ขอบเขตพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งที่ได้ แบ่งเอาไว้ โดยแต่ละพื้นที่สามารถแบ่งออกเป็นพ้นที่ที่เล็กลงได้อย่างไม่จำกัด ซึ่งพื้นที่แต่ละส่วน ก็ถูกอ้างไปยังพื้นที่ที่ใหญ่กว่าเป็นลำดับชั้นขึ้นไป เพื่อให้สามารถระบุตำแหน่งอ้างอิงของโฮสท์แต่ละเครื่องที่อยู่ภายใต้ขอบเขต ของแต่ละพื้นที่ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว โดยพื้นที่เสมือนแต่ละส่วนถูกเรียกว่า “ โดเมน” (Domain) และเรียกการอ้างระบบอ้างอิงเป็นลำดับชั้นด้วยชื่อของแต่ละพื้นที่หรือโดเมน นี้ว่า “ ระบบชื่อโดเมน ” ( Domain Name System) ส่วนพื้นที่ทั้งหมดของโลกเสมือนที่ประกอบด้วยพื้นที่ย่อยๆจำนวนมากนี้ จะเรียกว่า “Domain Name Space”

      DNS คืออะไร

        ระบบ Domain Name System (DNS) นี้เป็นระบบจัดการแปลงชื่อไปเป็นหมายเลข IP address โดยมีโครงสร้างฐานข้อมูลแบบลำดับชั้นเพื่อใช้เก็บข้อมูลที่เรียกค้นได้อย่าง รวดเร็ว nกลไกหลักของระบบ DNS คือ ทำหน้าที่แปลงข้อมูลชื่อและหมายเลข IP address หรือทำกลับกันได้ นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันเพิ่มเติมอื่นๆ อีก เช่น แจ้งชื่อของอีเมล์เซิร์ฟเวอร์ใน domain ที่รับผิดชอบด้วย ในระบบ DNS จะมีการกำหนด name space ที่มีกฎเกณฑ์อย่างชัดเจน มีกลไกการเก็บข้อมูลเป็นฐานข้อมูลแบบกระจาย ทำงานในลักษณะของไคลเอนต์เซิร์ฟเวอร์ (Client/Server)

      การทำงานของระบบ DNS

        การ ทำงานของระบบชื่อโดเมนนั้น เริ่มต้นจากเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งทำหน้าที่เป็น DNS Server ซึ่งทำงานด้วยซอฟแวร์พิเศษชื่อว่า BIND ที่ทำหน้าที่ในการรับส่งข้อมูลระหว่าง DNS Server แต่ละเครื่องผ่าน DNS Photocal เมื่อมีคำร้องขอให้สืบค้นหมายเลข ไอพี อย่างไรก็ตาม คำตอบที่ DNS Server จะมีให้ก็ต่อคำร้องหนึ่งๆนั้นขันกับว่า DNS Server นั้นเป็น DNS Server ประเภทใด ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ 1. Name Server 2. Resolver การตั้งชื่อให้ DNS ต้องเป็นไปตามกฏนี้ ใช้ได้เฉพาะตัวอักษรละติน (ASCII character set) ใน RFC 1035 ระบุว่าสัญลักษณ์ที่ใช้ได้ในโดเมนเนม คือ (1) ตัวอักษร a ถึง z (case insensitive - ไม่สนใจพิมพ์เล็ก พิมพ์ใหญ่) (2) เลข 0 ถึง 9 (3) เครื่องหมายยติภังค์ (-)


      Dynamic DNS คืออะไร

        เป็น ระบบที่เก็บไอพีแอดเดรสกับโดเมนเนมของคอมพิวเตอร์ที่ได้ลงทะเบียนไว้ คอมพิวเตอร์ของเราสามารถแจ้งไอพีแอดเดรสที่เปลี่ยนแปลงทุกๆ ครั้ง ให้กับ DNS SERVER ของผู้ให้บริการ Dynamic DNS ผ่านทางโปรแกรมสำหรับแจ้งไอพีแอดเดรสอัตโนมัติ ผุ็ใช้บริการเช่น No-ip.com, dyndns.com


4.ต้องการ Block Bit หรือจำกัด Banwidth ต้องใช้ Router รุ่นไหน ราคาเท่าไร
-----------------------------------------------------------
ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ


computer เขียน:อยาก ทราบรายละเอียดการทำเน็ตอพาร์ทเมนท์ มีหลักอย่าง ที่จะถามรหัสผู้ใช้งานและรหัสผ่าน เมื่อเราเปิด IE (ไม่ว่าจะเข้าเว็บไหน ต้องใส่รหัสของเราที่อพาร์ทเมนท์ให้มาก่อนแล้วจึงเข้าเว็บอื่นๆได้ ) แล้วถ้าตอนนี้เป็น lan แล้วจะเปลี่ยนเป็น Wireless แต่ละชั้นต้องใช้ Wireless รุ่นไหน รุ่น Linksys WRT54GL
นี้ได้ไหมครับ แล้วต้อง config อะไรบ้าง สามารถต่อจาก router แล้ว จะเหมือนเดิมไม(คือ เวลาเมื่อเราเปิด IE ไม่ว่าจะเข้าเว็บไหน ต้องใส่รหัสของเราที่อพาร์ทเมนท์ให้(รหัสอันเดิม)มาก่อนแล้วจึงเข้าเว็บ อื่นๆได้ )


  • การกระจาย Internet ภายในหอพัก หรืออพาร์ทเม้นท์ นั้นมี 2 แบบนะครับ

    1. แบบเหมารายเดือน -> ใช้รหัสผ่าน Lock ที่ตรงการเชื่อมต่อของ Linksys WRT54GL โดยในกรณีที่ผู้ใช้งานต้องการจะเชื่อมต่อ Wireless Internet ของหอพัก จะต้องใส่รหัส (Key) เพื่อเชื่อมต่อเสียก่อน ถึงจะสามารถเกาะสัญญาณ Wireless Internet ของเราได้ครับ โดยรหัสที่ว่านี้จะใส่เพียง 1 ครั้งเท่านั้น โดยครั้งต่อไปก็จะไม่ต้องใส่อีกเลยครับ

      สำหรับแบบเหมา รายเดือนนั้นยังสามารถกำหนดรหัสได้อีก 1 แบบ ก็คิอการ Lock ด้วย MAC Address ของเครื่อง Notebook/PC ที่ต้องการจะเข้ามาเชื่อมต่อครับผม วิธีการกำหนดนั้นสามารถค้นหาได้จากกระทู้เก่าได้เลยครับ -> ลิงค์ไปที่หน้าค้นหากระทู้เก่าเว็บ SYS2U.COM Google CSE

      วิธี การแบบนี้จะไม่ต้องใช้ Server เข้ามาช่วยทำงานใดๆ ทั้งสิ้นครับ แค่กำหนด Security ในอุปกรณ์ Linksys WRT54GL ก็สามารถทำงานได้เลยครับผม
    2. แบบรายชั่วโมง -> ใช้รหัสผ่านโดยการสร้างจากเครื่องแม่ข่าย (Server) โดยเราจะต้องติดตั้งเครื่อง Server เอาไว้เพิ่มอีก 1 เครื่อง จากการติดตั้งแบบแรก จากนั้นเครื่อง Server จะทำหน้าที่ในการสร้างตั๋วการใช้งาน Internet ของหอพัก โดยอาจจะสร้างออกมาได้หลายรูปแบบ เช่น ราย 10 ชั่วโมง, 30 ชั่วโมง เป็นต้น จากนั้นเมื่อเครื่อง PC/Notebook ของลูกค้าเข้ามาเกาะสัญญาณ wireless เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนการใช้งานทุกครั้งไม่ว่าจะเปิดหน้า Web ที่ไหนก็ตาม ก็จะถูก Re-Direct เข้าไปยังหน้า Login ก่อนทุกครั้ง ครับผม


      การติดตั้งแบบนี้สามารถใช้ Linux Server หรือจะใช้ HotSpot Gateway ทำงานแทนก็ได้ครับ -> ติดตั้ง Hot Spot ด้วย Zyxel G-4100 v2 - ณ หอพัก ย่านนวนคร

วิธีการติดตั้ง VPN แบบ PPTP Connection ใน Windows 7

คำถาม
1. ถ้าต้องการติดตั้ง VPN แบบ PPTP Connection ใน Windows 7 เพื่อเชื่อมต่อ PPTP Server ?

คำตอบ
วิธี การที่สะดวกในการเชื่อมต่อ VPN อีกวิธีที่ได้รับความนิยมคือ VPN แบบ PPTP Connection (Point-To-Point Tunneling Protocol) โดยวิธีการดังกล่าวเป็นการเชื่อมต่อ VPN ในระดับ Tunneling คือการสร้าง ‘ท่อ’ ในการรับ-ส่งข้อมูล ระหว่าง VPN Client และ VPN Server หรืออาจจะเรียกได้อีกแบบว่าเป็นการทำ VPN แบบ 1 เฟส (* ชื่อนี้ผมชอบเรียกเอง โดยเปรียบเทียบจากการทำ IPSec VPN ที่ทำ VPN แบบ 2 เฟส)

การทำ PPTP Connection ใน Windows 7 สามารถใช้งานร่วมกับ PPTP Server ที่รองรับมาตรฐาน PPTP ได้ทุกค่าย ดังนั้นท่านสามารถทำนำเอาวิธีการติดตั้งในบทความนี้ไปประยุกต์ใช้งานได้ตาม อัธยาศัย

    รูปภาพ


ข้อมูลเบื้องต้นก่อนการติดตั้ง
  1. การติดตั้งและเชื่อมต่อ VPN แบบ PPTP Connection ในบทความนี้ ทดสอบจาก Windows XP Service Pack 2
  2. กำหนดให้สร้าง PPTP Account บนเครื่อง PPTP Server ก่อนการติดตั้ง จากตัวอย่าง มีรายละเอียดการเชื่อมต่อดังนี้
    • PPTP Server Address = sys2u-pptp.dyndns.info
    • PPTP Account Username = sys2u
    • PPTP Account Password = sys2u
    * ท่านสามารถเปลี่ยนแปลงรายละเอียดตามต้องการ


ขั้นตอนที่ 1 สร้างการเชื่อมต่อแบบ VPN PPTP กับ PPTP Server

    Microsoft Windows 7
    • เข้าเมนู ‘All Programs’ -> ‘Control Panel’’

      รูปภาพ

    • เข้าเมนู ‘Network and Internet'

      รูปภาพ

    • เข้าเมนู ‘Network and Sharing Center'

      รูปภาพ

    • เข้าเมนู ‘Setup new connection or network'

      รูปภาพ


    • เข้าเมนู ‘Connect to a work place' จากนั้นกดปุ่ม 'Next'

      รูปภาพ



    • เข้าเมนู ‘Use my internet connection (VPN)'

      รูปภาพ


    • กำหนดที่อยู่ของ VPN Server โดยจะระบุเป็น IP Address ในกรณีที่เชื่อมต่อ Internet แบบ Static หรือจะกำหนดเป็น FQDN ในกรณีที่เชื่อมต่อ Internet แบบ Dynamic DNS โดยตัวอย่างระบุดังนี้

      • Internet Address : 'sys2u-pptp.dyndns.info'
      • Destination Name : 'SYS2U PPTP VPN' (* กำหนดตามความต้องการ)



      รูปภาพ


    • กำหนดชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านที่ระบุอยู่ใน Linksys RV042 โดยตัวอย่างระบุดังนี้
      • User name : 'sys2u'
      • Password : 'sys2u' (* กำหนดตามความต้องการ)


      รูปภาพ



    • กำลังเชื่อมต่อไปยัง Linksys RV042 VPN Server

      รูปภาพ

      รูปภาพ

    • การเชื่อมต่อไปยัง Linksys RV042 VPN Server เรียบร้อยแล้ว !

      รูปภาพ




ขั้นตอนที่ 2 ในกรณีที่ต้องการเชื่อมต่อ VPN อีกครั้ง ท่านสามารถไปที่ Taskbar ด้านมุมขวาของหน้าจอ


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ


เท่านี้ละครับ เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วครับ

Co-Location คืออะไรหรอครับ

Server Co-Location คืออะไร

Colo ( co-lo Colocation )ความหมาย คือ เป็นที่ให้เช่า เพื่อวางเซิร์ฟเวอร์

Co-location Server (โคโลเคชั่น) คือ บริการเช่าพื้นที่วางเซิร์ฟเวอร์ (โคโล)
เป็น บริการที่ให้คุณสามารถนำเครื่องเว็บเซิร์ฟเวอร์ ดาตาเบสเซิร์ฟเวอร์ หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นไปฝากวางไว้กับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตดาตาเซ็นเตอร์ เพื่อเชื่อมต่อสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยทำสัญญาเช่าพื้นที่ในการวางเซิร์ฟเวอร์และคิดค่าบริการเป็นรายเดือน ซึ่งคุณก็ยังสามารถ เข้าไปดำเนินการจัดการ ควบคุม แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือดำเนินการใดกับเครื่องเซิร์ฟเวอร์และระบบของคุณได้อย่างเต็มที่ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดีและระบบความปลอดภัยชั้นเยี่ยม

Co-Location คืออะไร ?
แปลแบบง่าย ๆ ตามใจความ คือ การขอแชร์ที่ที่ตั้ง หลักแหล่ง หมายถึง Computer หรือ Server ของท่านนั่นเอง
แล้ว ทำไมถึงนิยมใช้ Co-Lo กัน , Co-Lo จริง ๆ แล้วถ้าเอาให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คงจะเปรียบเทียบได้เสมือน Hi-Speed Internet หรือที่เรียกว่าอินเตอร์เนตความเร็วสูงนั่นเอง
จุดประสงค์หลัก ๆ ของมันก็คือความเร็ว ซึ่งเร็วมาก มากกว่า hi-speed internet หรือ ADSL ที่ตอนนี้นิยมใช้ ๆ กันอยู่มาก ที่มันมาฮิต ๆ กันก็น่าจะมาจาก hi-speed internet ด้วยนั่นเอง
ซึ่งข้อแตกต่างของมันก็คือ speed ที่เราได้รับจาก Co-Lo จะไม่ได้แชร์เหมือน ADSL ซึ่ง ADSL นั้นสปีดที่เราได้ไม่ใช่สปีดที่แท้จริง แต่เป็นการแชร์กัน ถ้าคนใช้ ณ ช่วงเวลานั้น ๆ เยอะ ๆ ก็อาจจะทำให้ช้า อืดไปเลยก็เป็นได้ และสปีดจาก Co-Lo นั้นยังเร็วกว่า ADSL แบบเทียบกันไม่ติด จริง ๆ มากกว่าหรือเทียบเท่าในเกณฑ์ของ Leased line ซะด้วยซ้ำไป
เช่น ที่ InternetThai ISP ตั้งอยู่ที่ กสท บางรัก

สถานที่ ที่เอา Com, server ไปไว้ เพื่อเชิ่มโยง Interlink ให้มันไวขึ้น
ทำ ที่บ้านก็ได้ แต่ ว่า จำนวน การ HOP ใน Network จะไกลขึ้น

ตัวอย่างการใช้งานอื่นๆ
Co-Lo สำหรับบิต ก็คือ การเอา server ไปฝากไว้ แล้วอาศัยความเร็วอินเตอร์เน็ตที่แรง ไปดูดไฟล์
Co-Lo สำหรับ Datacenter เป็นการ วาง Server ไว้ที่ InterLink เพื่อเชื่อมโยง
Co-Lo สำหรับ Hosting  เป็นการ วาง Server ไว้ที่ InterLink เพื่อเชื่อมโยง

จุด ประสงค์หลักของมันคือ เอา Server ไปวาง สถานที่ ที่เชื่อมต่อ Internet ความเร็วสูงๆ เพื่อ Exchange Link กัน สะดวก เช่น CAT บางรัก , CSLox สนามเสือป่า

โดยปกติแล้ว การใช้อินเตอร์เน็ตตามบ้านโดยทั่วๆ ไปนั้น จะสามารถเชื่อมต่อได้ด้วยความเร็วที่ไม่สูงมากนัก อย่างมากก็ได้แค่ระดับ ADSL เท่านั้น ซึ่งหากจะนำมาเปิดเป็นเซิร์ฟเวอร์ หรือต้องการใช้คนภายนอกเข้ามาใช้เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต ก็คงต้องการความเร็วที่มากกว่านี้ เสถียรกว่านี้ อาจต้องอาศัยคู่สายเช่า หรือ leased line ที่มีราคาแพงหลักหมื่น หรือหลักแสน ขึ้นอยู่กับความเร็วที่ต้องการ

ดังนั้น เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณค่าใช้จ่าย แทนที่จะเช่าคู่สายความเร็วสูงราคาแพงมาที่บ้านเรา ก็เปลี่ยนเป็นยกเครื่องคอมพิวเตอร์หรือเซิร์ฟเวอร์ของเราไปหาที่ๆ มีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงแทน อย่างเช่น TOT หรือตึก กสท. (CAT) เป็นต้น ซึ่งที่นั่นจะมีอินเตอร์เน็ตที่มีความเร็วสูงและมีความเสถียรมากอยู่แล้ว

Co-location หากแปลตรงตัวจะหมายถึง การใช้พื้นที่ร่วมกัน ซึ่งก็คือการให้บริการพื้นที่ตั้งเครื่องเซิร์ฟเวอร์ เพื่อที่จะทำ Web Server, Mail Server, Database Server เป็นต้น โดยบริษัทผู้ให้บริการจะมีปัจจัยต่างๆ ที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟฟ้า ไฟฟ้าสำรอง และอุปกรณ์ที่ต่อเชื่อมเข้าสู่ระบบอินเตอร์เน็ต รวมถึงการสนับสนุนอื่นๆ ไว้ให้เช่น IP Address, Program or Application Software, Tool, Web-mail, File Server ฯลฯ เอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งความเร็วที่ได้จากการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตก็จะมีความเร็วตั้งแต่ 100 mbps ไปจนถึง 1000 mbps และยังมีความเสถียรมากกว่าอินเตอร์เน็ตทั่วไปอีกด้วย



Co-location Server คือ บริการรับฝากเครื่อง Server ซึ่งท่านไม่จำเป็นต้องเช่า Rack ทั้งตู้ การเช่าแบบ Co-location จึงเป็นการประหยัดมากกว่า ทำให้สามารถลดต้นทุนได้เป็นอย่างมาก และสามารถบริหารCo-location Server ของด้วยวิธี Remote Access (Telnet,Terminal) เปรียบเสมือนนั่งทำงานอยู่หน้าเครื่อง Co-location Server

Co-location Server เหมาะสำหรับผู้ที่มีเครื่อง Server อยู่แล้ว และต้องการให้ server สามารถเข้าใช้งานได้รวดเร็ว ผ่านระบบอินเตอร์เน็ท งานที่ต้องการใช้ทรัพยากรของเครื่องสูงมาก ๆ มีฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ข้อมูลเป็นความลับ เช่น Application Server ,Live Broadcast Server,Web Server,Mail Server เป็นต้น บริการ Dedicated Server นี้ใช้เวลาติดตั้ง 1 วันทำการ โดยประมาณ



เป็นบริการรับฝากเครื่อง Server
เช่น เอา server ไปไว้ที่ ISP ซึ่งจะไวกว่าเอามาไว้ที่บ้าน
เพราะเนต ที่ ISP จะมี BW ที่ รองรับ Server ให้ อยู่แล้ว

 http://www.hostingjidee.com/images/rfq_image.jpg
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต่อกับอินเตอร์เน็ต
ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่ออฟฟิส
ถ้าหากต้องการให้คนภายนอก
เข้ามาใช้งานเครื่องของเราผ่านทางสายอินเตอร์เน็ต
ความเร็วที่ได้มันจะไม่เร็วมาก อย่างเช่น ADSL 1024/512
ความเร็วที่ส่งข้อมูลออกสู่ภายนอกคือ 512kbps
ค่าใช้จ่ายไม่เกินเดือนละ 1000 บาท
ถ้าหากต้องการอินเตอร์เน็ตที่ความเร็วมากกว่านี้ เสถียรมากกว่า
ก็ต้องใช้เป็น leased line ซึ่งราคาอาจจะเป็นหลายหมื่น หลายแสน
ขึ้นอยู่กับความเร็วที่คุณต้องการ
เพราะ การเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรามาทำเป็น internet server
เพื่อให้คนภายนอกเข้ามาใช้นั้น
ความเร็วของอินเตอร์เน็ต และความเสถียรเป็นสิ่งสำคัญ

ดังนั้น ถ้าหากเราไม่ต้องการเชื่อมโยงอินเตอร์เน็ตมาถึงบ้านเรา
โดยเอาความเร็วสูงๆ ความเสถียรสูงๆ ซึ่งมันเปลืองตัง
แทนที่เราจะเอาเน็ตเข้ามาหาเรา
เราก็กลับเป็นว่า ยกเครื่องคอมของเรา ไปหาอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงแทน

ซึ่ง ความเร็วที่ได้ก็จะมีระดับ 100mbps หรือ 1000mbps
และความเสถียรก็จะมากกว่า เดินสายอินเตอร์เน็ตมาที่เรามาก
แถมยังเสียค่าใช้จ่ายระดับ ไม่กี่พันบาทต่อเดือน เท่านั้นเอง..

คำว่า Co-Location ที่แปลว่า การใช้พื้นที่ร่วมกัน
ก็จึงหมายถึง บริษัทที่ให้บริการอินเตอร์เน็ต อย่าง CAT
ที่มีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงอยู่แล้ว
จึงมีบริการให้คนภายนอก เอาเครื่องคอมของตนเข้าไปตั้งในพื้นที่บริษัทของตน
เพื่อเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตความเร็วสูง โดยคิดค่าบริการรายเดือน

Co-location (โคโลเคชั่น) คืออะไร

Co-location (โคโลเคชั่น) คืออะไร
คือ บริการเช่าพิ้นที่สัญญาณอินเตอร์เนตความเร็วสูง และพื้นที่วางเครื่อง Server ของคุณ ในที่นี้คำว่าเครื่อง Server ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเครื่อง Server จริง ๆ ก็ได้ สามารถวางได้ทั้ง PC Tower ธรรมดา ๆ ที่เราใช้ , Mini-Tower , Atom ซึ่งขึ้นอยู่กับการใช้งานและวัตถุประสงค์ หากเพียงแต่ว่าถ้าได้เครื่อง Server ก็จะทำให้งานของคุณทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่ราคาก็จะสูงขึ้นตามประสิทธิภาพ

Co-location จึงเปรียบเสมือนหอพัก หรือคอนโดขนาดใหญ่ ที่เปิดเช่าให้กับผู้พักอาศัย พร้อมแถมสาธูปโภคให้พร้อม หากแต่เพียง Co-location ไม่ใช่คนพักอาศัย แต่เป็นคอมพิวเตอร์ ซึ่งการเช่าก็คิดเป็นรายเดือน คุณสามารถเข้าไปดำเนินการจัดการ ควบคุม แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือดำเดินการใด ๆ ได้ตามต้องการ และมีสิทธิความเป็นเจ้าของเครื่อง 100%




*Nettree IDC รูปภาพจริงจากห้อง Data Center ที่ทางเว็บ TM รับวางเครื่อง Server


ทำไมต้องใช้บริการ Co-Location อธิบายเป็นคำพูดง่าย ๆ ที่ใคร ๆ อ่านแล้วเข้าใจได้ดังนี้

•ความเร็ว แน่นอนว่าบริการ Co-location มีความเร็วสูงว่า ADSL Hi-Speed Internet อยู่เยอะมาก ยกตัวอย่างดังนี้ :
ความเร็วในการ Download/Upload ของ Colo เมื่อเทียบกับ net บ้านแล้ว แตกต่างกันอย่างมาก
ตัวอย่างเช่น Internet ADSL ทั่วๆไปที่ใช้กันอยู่อย่าง ในที่นี้ขอยกตัวอย่างความเร็ว 3 Mb ก็คือ (Magabit)
เมื่อนำมาคำนวนเป็น หน่วย MB (MegaByte) แล้วก็จะได้ (3*1024) = 3072/8 = 384 KB (Kilobyte)
ซึ่ง เวลาใช้ Colo ความเร็วมาตรฐานที่จะได้กันก็จะอยู่ราว ๆ 70 MB (Megabyte) เมื่อคำนวนแล้ว = (70*1024) = 71680 * 8 = 573,440 KB
ซึ่งก็คือ 560 Mb (Megabit) ซึ่งก็จะเห็นว่า Colo Standdard ก็เร็วกว่าอินเตอร์เนตบ้าน ๆ ถึง 187 เท่าเลยทีเดียว


•ความเสถียรของระบบต่าง ๆ แน่นอนว่าหากคุณไม่ได้วางเครื่อง Server ในแบบ Co-location ที่อยู่ในห้อง Internet Data Center ย่อมมีหลายปัจจัยที่รบกวนคุณ และอาจจะกระทบถึงงานขององค์กรหรือตัวคุณ ไม่ว่าจะเป็นกระแสไฟฟ้าที่ไม่แน่นอน ความร้อน ความปลอดภัย ฯลฯ แต่หากคุณใช้บริการ Co-location กับ Torrentmove คุณไม่ต้องสนใจตัวแปรที่จะมีผลต่อคุณ เพราะเราจัดการให้เรียบร้อยหมดแล้ว เพียงค่าบริการรายเดือนอย่างเดียว

•สิทธิ์พิเศษอีกมายมาย ที่ท่านจะได้รับทั้งกับทางเว็บ Torrentmove.CoM ซึ่งเป็นเว็บบิทชั้นแนวหน้าในเมืองไทย เช่น ผู้ที่วางเครื่องไว้กับเราจะได้รับสิทธิ์เป็น VIP เป็นระยะเวลา 3 เดือน ถ้าหากยังไม่มี Account คุณจะได้ Account ฟรี 1 ID ด้วย

•แยกวงจรโครงข่ายออกเผื่อให้การไหลลื่นของข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็ว

•การเชื่อมต่อโดยตรงกับโครงข่ายหลักอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง (High Speed Internet Backbone) และมีช่องสัญญาณเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตไปยัง National Internet Exchange (NIX) ขนาด 10 Gbps ทำให้การรับส่งข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

•ระบบรักษาความปลอดภัย Multi-Layered Security ทั้งระบบป้องกันการเข้าถึงข้อมูลของลูกค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต และการควบคุมดูแลการผ่านเข้าออกในพื้นที่

•มีระบบสำรองพลังงานไฟฟ้า พร้อมด้วย Power Generator เพื่อส่งพลังงานไฟฟ้าสำรองกับทั้งระบบกรณีไฟฟ้าตกหรือดับ

•มีระบบควบคุมอุณหภูมิห้อง และระบบป้องกันไฟต่างๆที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อคุณภาพ และความมีเสถียรภาพของระบบ

•มีวิศวกรที่เชี่ยวชาญดูแลระบบตลอด 24 ชม. และสามารถเข้าออกได้ตลอด 24 ชม. (เฉพาะผู้ได้สิทธิ์หรือเจ้าของเครื่อง)

เกี่ยวกับการบริการ ทาง Torrentmove มีบริการ 3 ประเภทดังนี้
1. Co-location Server บริการรับฝากวางเครื่อง Server ทั้งเครื่อง (จำเป็นต้องมีเครื่อง Server ของตัวเอง)
2. Bit Colo (โคโล) บริการให้เช่า Package เพื่อใช้ในการเก็บไฟล์ (ไม่จำเป็นต้องมีเครื่อง Server ของตัวเอง)
3.Delicate Server บริการเช่าเครื่อง Server (ไม่จำเป็นต้องมีเครื่อง Server ของตัวเอง)

ขณะนี้ยังไม่เปิดให้บริการ


5/25/2554

วิธีการเขียน Batch File เบื้องต้น #1: เริ่มสร้าง Batch File

หลาย วันมานี้ ผมมีความจำเป็นที่ต้องหาความรู้เกี่ยวกับ Batch File ซึ่งตัวผมเคยแต่ได้ยินมา ยังไม่เคยได้ลองด้วยตัวเองซักที ตอนนี่กำลังพยายามเรียนรู้กับมันอยู่ ด้วยความที่ต้องเริ่มต้นจาก 0 จึงต้องควานหาความรู้จากหลายๆเวป บางเวปก็งงกับภาษา ผมก้อเลยคิดว่าจะลองรวบรวมความรู้ที่ได้เป็นภาษาง่ายๆ ตามความเข้าใจของผม เพราะเป็นคนที่เริ่มจาก 0 ให้เพื่อนๆที่อาจต้องการความรู้ในเรื่องนี้ครับ

(ผมอาจจะยังไม่รู้ในหลายๆเรื่อง ถ้ามีผู้เชี่ยวชาญผ่านมาเห็นก้อรบกวนขอคำแนะนำด้วยคับผม o(#'U'#)o)

มาเริ่มกันเลยดีกว่าคับ

Batch File คืออะไร ?

Batch File เป็นชุดคำสั่งที่เขียนเพื่อสั่งให้ Computer ทำงานตามคำสั่งนั้นคับ โดยที่หน้าตาของไอ้เจ้าคำสั่งใน Batch File นั้น ก้อคือ คำสั่งทีี่่เราพิมพ์ใน Command Prompt นั่นเอง (Start > Run พิมพ์ cmd) เช่น

C:> echo hello [พิมพ์ แล้วกด Enter]
hello [Output ที่ได้]

C:> echo world [พิมพ์ แล้วกด Enter]
world [Output ที่ได้]

เมื่อเราพิมพ์ แล้วกด Enter สิ่งที่ได้คือ คำ่ว่า hello
คำสั่ง echo เป็นการสั่งให้ระบบมันสะท้อน ข้อความ ที่เราเขียนดังตัวอย่างข้างบน

ในการสร้าง Batch File เราก้อแค่เอาคำสั่งที่ใช้ใน Command Prompt เหล่านี้ไปเขียนต่อๆกัน ให้มันทำงาน
Concept ไม่ยากใช่ไหมคับ งั้นมาต่อกันเลยนะคับ

การสร้าง Batch File ทำอย่างไร ?

จากที่ผมอธิบายไป การสร้าง Batch File คือ การเอาชุดคำสั่งมาเขียนต่อๆกัน ที่นี้เราจะสร้าง Batch File ขั้นแรกเราก้อต้องหาที่เขียนก่อน ซึ่งก้อมีหลายตัวที่เราสามารถใช้ได้ ในที่นี่เราจะใช้ตัว notepad ในการเขียนนะคับ

หลังจากเปิดขึ้นมาแล้วเป็นหน้ากระดาษเปล่า ลองพิมพ์ชุดคำสั่งตามนี้นะคับ

echo hello
echo world

แล้ว ก้อทำการ Save คับ !!! แต่ การ Save เราจำเป็นต้องกำหนดนามสกุลเป็น Batch File เองคับ โดยเติม .bat ต่อท้ายชื่อ File ที่เราต้องการ Save (เพื่อความง่ายในการอธิบาย ผมจะขอทำการ Save ไว้ที่ Drive C นะคับ)



มาถึงตรงนี้ เราก้อได้ Batch File มาแล้วคับ เราลองมา Run ดูนะคับ
ให้เปิด Command Prompt ขึ้นมาแล้ว พิมพ์

cd \

เพื่อเปลี่ยน Directory ไปที่ Root ซึ่งในที่นี่ คือ Drive C (cd คือ Change Directory ครับ ส่วน \ เป็นสัญลักษณ์ที่แทน Root ครับ)
เราจะเห็น Prompt เป็น

C:\>

ให้เราพิมพ์ชื่อ File ที่เราสร้างไว้คับ

C:\> TEST.bat

ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็น

C:\>echo hello
hello

C:\>echo world
world

จะเห็นได้ว่า ระบบจะทำงานตามคำสั่งที่เราเขียน เหมือนกับเราเป็นคนพิมพ์เองเลยทีเดียว

แต่ คราวนี้เวลาเอาไปใช้ เราอาจไม่ต้องการให้คนอื่นเห็นคำสั่งที่เราเขียน เราก้อแค่ใช้คำสั่งซ่อนสิ่งที่เราเขียนไว้เท่านั้นเอง นั่นคือ

echo off

งั้นมาลองกันคับ ให้ไปที่ File TEST.bat ของเรา แล้วกด Click ขวา เลือก Edit จะเห็นเป็น notepad ขึ้นมาคับ



ให้เพิ่มคำสั่ง echo off ที่บรรทัดแรกสุด

echo off
echo hello
echo world

แล้วทำการ Save คับ เราลองมา Run ดูใหม่นะคับ (วิธีตามวิธีข้างต้นเลยคับ) ผลที่ได้จะเป็น

C:\>echo off
hello
world

จะ เห็นว่ามีการพิมพ์คำสั่ง echo off เพื่อทำการซ่อนคำสั่งของเราแล้ว คำสั่งที่หลังจากนี้ก้อจะไม่แสดงคำสั่งของเราแล้วคับ o(#^u^#)o

!!! แต่ถ้าเราอยากให้ไม่แสดงคำสั่ง echo off ด้วยล่ะ จะได้ไหม
!!! ได้คับ เราก้อแค่เติม @ ข้างหน้า echo off เท่านั้นเองคับ เราลองไปเพิ่มใน notepad นะคับ ก้อจะได้เป็น

@echo off
echo hello
echo world

ทำการ Save แล้วก้อ Run เลยคับ GO GO GO !!!
จะเห็นว่าผลที่ได้จะเหลือแค่

hello
world

เพราะว่าเครื่องหมาย @ เป็นการบอกว่าให้ใช้คำสั่งนั้นกัับตัวมันด้วยคับ เพราะฉะนั้นตัว echo off ก้อเลยถูกซ่อนไปด้วย

เป็นยังไงบ้างคับ หวังว่าผู้ที่ (หลงเข้ามา) อ่านคงจะได้ความรู้เรื่อง Batch File มากขึ้นนะคับ
ผมก้อยังเป็นมือใหม่เหมือนกัน เรามาหาความรู้แล้วก้อโตไปพร้อมๆกันนะคับผม
ลองเขียนดูแล้วครับ
@echo off
XCOPY C:\1234 D:\5678 /S /E

พอรันไฟล์ก้อขึ้นหน้าจอ
Does D:\5678 specify a file name
or directory name on the target
(F = file, D = directory)?

ถ้าใส่ D Enter ก้อจะได้ตามต้องการ  แต่สิ่งที่อยากได้เพิ่มเติมและหาไม่เจอคือ
1. อันดับแรกไม่อยากให้มันขึ้นกรอบเพื่อที่จะต้องตอบเลย (D Enter)
2. อยากให้มันสร้างโฟล์เดอร์วันที่เองแทนโฟล์เดอร์ 5678 ได้ไหมครับ  แล้ว ถ้ามีข้อความเข้าไปด้วยจะยากเกินไปไหม
3. อยากให้มัน run auto ตอนไม่มีคนใช้แล้วเช่น ทุก ๆ วันตอน 21.00 ครับ จะทำได้ไหม


ตามนี้นะครับ ท่าน


โค๊ด:
@echo off

:: variables
set data=C:\data
set drive=E:\backup
set folder=%Date:~-7,2%_%Date:~-10,2%_%Date:~-4,4%
set backupcmd=xcopy /s /c /d /e /h /i /r /k /y

echo ### Backing up directory...
%backupcmd% "%data%" "%drive%\%folder%"

echo Backup Complete!


ตามคำสั่ง ด้านบน มันจะ ทำการ Copy Files จาก Folder ที่ C:\data ไปไว้ที่ E:\backup\วันที่_เดือน_ปี ครับ

หากจะเอาไปใช้จริงๆก็ ทำการแก้ ตัวแปล ต้นทาง set data=C:\data    set drive=E:\backup ปายทาง ให้ตรงกับที่อยู่ Folder ของท่านก่อนนะครับ

และ หาจะ ให้มันรันเองทุกๆวัน เวลา 21.00 ก็ให้ save เป็น bat ตัวอย่างนี้ ผมใช้ชื่อ backup.bat แล้วไปเพี่มให้มันรันไฟลนี้ ที่

Start > Control Panel >   scheduled task




แล้ว Add



เลือกหาไฟล backup.bat



ใช่ชื่อให้ มัน ว่า Back up  และ เลือกเป็นแบบ daily




เลือกเวลานะครับ



ใส่ password ของ user ของท่าน ครับ หากไม่มีก็ไม่ใส่ครับ



แล้วทดสอบ กดที่ RUN




จบครับ

ขอบคุญ รูปจาก
http://teamtutorials.com/windows-tutorials/create-a-windows-daily-backup-script


ส่วน Script เอามาจากหลายๆ ที่ ปะปนกันครับ
โดยแนวทางหลักมาจากเวปนี้ครับ
http://www.speedguide.net/read_articles.php?id=1547

5/11/2554

script PHP


    การเปลี่ยน ver 10 เป็น ver 13 ต้องเปลี่ยนข้อมูลที่อยู่บน server เป็น version 13 ด้วย
โปรแกรมงานสารบรรณ slb2003
โปรแกรมบุคลากร PSN2003
[User : admin] [password : 017573989 , 013052560]
จำนวนการ download 8620  ครั้ง
โปรแกรมห้องสมุด lb2002 v.1 จำนวนการ download 6073  ครั้ง
คู่มือการใช้งาน std2003 version 9 จำนวนการ download 2455  ครั้ง
รหัสสาขาวิชา สาขางาน( ปรับปรุง 1 ก.พ. 50 ) จำนวนการ download 473  ครั้ง
power point ระหว่างการอบรมที่ พัทยา ก.ย. ปี 51 จำนวนการ download 489  ครั้ง
การ set samba server แบบ text mode เพื่อใช้งาน std2003 จำนวนการ download 811  ครั้ง
ตั้งค่าการใช้งาน Std2003 บนระบบเครือข่าย จำนวนการ download 1546  ครั้ง
PowerPoint ประกอบการอบรม 25 มกราคม - 6 กุมภาพันธ์ 2552 จำนวนการ download 795  ครั้ง


พบกับเวอร์ชั่นใหม่
std2011

อบรมที่ระยอง ระหว่างวันที่ 12 มกราคม 2554 - 4 กุมภาพันธ์ 2554
Version 16
download STD2003
version 16.0.7
โปรแกรมวันที่ 15 ตุลาคม 2553
version 16.0.6 แฟ้ม std_grade เสียจะพิมพ์รายงาน 5 ภาคเรียนไม่ได้


std2003 ver 16.0.7 ( 15/10/2553 ) จำนวนการ download
Std2003-Ver1607-15-10-53.zip 18,655 Kb 2009 ครั้ง


download STD2003
version 16.0.2
โปรแกรมวันที่ 17 พฤษภาคม 2553

std2003 ver 16.0.2 ( 17/05/2553 ) จำนวนการ download
Std2003-Ver16.0.2-17-05-53.rar 16,662 Kb 2923 ครั้ง


Version 14
download STD2003
version 14.2.5
โปรแกรมวันที่ 18 ธันวาคม 2552

std2003 ver 14.2.5 ( 18/12/2552 ) จำนวนการ download
Std2003-Ver14.2.5-18-12-52.zip 21,694Kb 1224 ครั้ง
download STD2003
version 14.1.8
โปรแกรมวันที่ 22 ตุลาคม 2552

std2003 ver 14.1.8 ( 22/10/2552 ) จำนวนการ download
std2003_v14.1.8.zip-22-10-52.zip 12,451 Kb 378 ครั้ง
download STD2003
version 14.1.1
โปรแกรมวันที่ 1 ตุลาคม 2552

std2003 ver 14.1.1 ( 01/10/2552 ) จำนวนการ download
Std2003-Ver.14.1.1-01-10-52.zip 14,478 Kb 326 ครั้ง

std2003 ver 14.1.1 ( 01/10/2552 ) not Install จำนวนการ download
Std2003-Ver.14.1.1-not install.zip 14,542 Kb 173 ครั้ง


Version 13
download STD2003
version 13.4.2
โปรแกรมวันที่ 24 กันยายน 2552
โปรแกรมหลังการอบรม 13-24 กันยายน 2552

std2003 ver 13.4.2 ( 24/09/2552 ) จำนวนการ download
Std2003-Ver.13.4.2-24-09-52.zip 14,565 Kb 760 ครั้ง

Version 12
download STD2003
version 12.7
โปรแกรมวันที่ 29 สิงหาคม 2552
โปรแกรมสำหรับใช้อบรม 13-24 กันยายน 2552
- เพิ่มการเก็บข้อมูล log
- การเก็บข้อมูลการรักษาพยาบาล
- การเก็บข้อมูลการรับทุน
- รายงานผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (งานประกันฯ)

std2003 ver 12.7 ( 29/08/2552 ) จำนวนการ download
Std2003-Ver12.7-29-08-52.zip 14,047 Kb 827 ครั้ง

Version 10
download STD2003
version 10.6
โปรแกรมวันที่ 9 มิถุนายน 2552

std2003 ver 10.6 ( 09/06/2552 ) จำนวนการ download
Std2003_ver10.6-09-06-52.zip 13,972 Kb 1439 ครั้ง


Update สำหรับวิทยาลัยจัดตั้งใหม่ ไม่มีชื่อวิทยาลัย
DOWNLOAD ไฟล์ dove.zip แล้วแตกไฟล์ ไปไว้ที่ c:/std2003 ทับตัวเก่า
Update สำหรับวิทยาลัยจัดตั้งใหม่ จำนวนการ download
dove.zip 32 Kb 228  ครั้ง

download STD2003
version 10.4
โปรแกรมวันที่ 7 พฤษภาคม 2552
การแปลงข้อมูล text สำหรับ RMS จะเก็บใน folder Export
พิมพ์ไปรษณียบัตร ติดตามภาวะการมีงานทำ

หลังแตก zip file เอา folder std2003 copy ไปไว้ที่ drive C: ได้เลย
สำหรับเครื่องที่ไม่เคยลง โปรแกรม std2003
ให้ copy 2 ไฟล์ ใน folder system32_std ไปไว้ใน folder c:\windows/system32

std2003 ver 10.4 ( 07/05/2552 ) จำนวนการ download
std2003_Ver10.4_07-05-52.zip 13,204 Kb 895 ครั้ง


Version 9

download STD2003
version 9.1.6
โปรแกรมวันที่ 05 กุมภาพันธ์ 2552
เพิ่มเติม ระบบติดตามภาวะการมีงานทำ สำหรับการอบรม ในช่วง 25 มกราคม - 6 กุมภาพันธ์ 2552
เป็น Version สุดท้ายหลังอบรมเสร็จครับ

std2003 ver 9.1.6 ( 05/02/2552 ) จำนวนการ download
Std2003_Ver916_050252.zip 19,766 Kb 1538 ครั้ง

download STD2003
version 9.1.3
โปรแกรมวันที่ 28 มกราคม 2552
เพิ่มเติม ระบบติดตามภาวะการมีงานทำ สำหรับการอบรม ในช่วง 25 มกราคม - 6 กุมภาพันธ์ 2552
ยังมีการปรับปรุงอีก รอ load Version สุดท้ายหลังอบรมเสร็จแล้วก็ได้ครับ

std2003 ver 9.1.3 ( 28/01/2552 ) จำนวนการ download
Std2003_Ver913_280152.zip 14,203 Kb 353 ครั้ง

download STD2003
version 9.0.7
โปรแกรมวันที่ 20 ตุลาคม 2551
std2003 ver 9.0.7 ( 20/10/2551 ) จำนวนการ download
Std2003_Ver907_201051.zip 12,215 Kb 620 ครั้ง


download STD2003
version 9.0.6
โปรแกรมวันที่ 4 กันยายน 2551
std2003 ver 9.0.6 ( 4/09/2551 ) จำนวนการ download
std2003_Ver906_040951.zip 12,215 Kb 393 ครั้ง





โปรแกรมวิทยาลัยชุมชน
cmc2002 Ver 2.2 (11/05/50)
จำนวนการ download
9,807 Kb
229




script ASP
สำหรับดูเกรดทาง internet บน server ที่เป็น windows
semgrade.asp+semgrade3.asp ดูเป็นภาคเรียน
endgrade.asp+endgrade3.asp ดูทุกภาคเรียน
adovbs.inc file ติดต่อ ODBC
นำข้อมูลเข้า Access ชื่อ allgrade2.mdb
(วิธีการติดตั้ง ASP บน server ที่เป็น windows)
จำนวนการdownload
8 Kb
2366
DownLoad คู่มือการนำผลการเรียน แบบ ASP แสดงบนBrowser
49 Kb
649

script PHP
สำหรับดูเกรดทาง internet บน server ที่เป็น linux
mygrade.sql สร้าง database และ Table บน Mysql
convertgrade__.php นำข้อมูลจาก txt เข้า table
semgrade.php ดูผลการเรียนทั้งเป็นภาคเรียน และทุกภาคเรียน
(วิธีการติดตั้ง PHP บน server ที่เป็น Linux)
จำนวนการ download
171 Kb
1089

script PHP
สำหรับดูเกรดทาง internet บน server ที่เป็น linux
แก้ไขใหม่ ให้ใช้สำหรับ server MySQL version 5 ได้ โดยใช้โครงสร้างภาษาเป็นแบบ UTF-8 ทั้งหมด
( วิธีการติดตั้ง ) จำนวนการ download 490 ครั้ง
จำนวนการ download
53 Kb
454 ครั้ง

               มีปัญหาเรื่องการ download หรือติดตั้ง โปรดแจ้งกลับมา เพื่อที่จะได้ปรับปรุง
worakitw@live.com
Skype name: worakitw
http://www.chontech.ac.th/std2003/download.php