กรรมของเพชฌฆาตโรงฆ่าสัตว์
ชีวิตของคนเรานั้น เกิดมาเพื่อรอวาระสุดท้ายหรือวันตายนั่นเอง เพียงแต่ไม่มีใครหยั่งรู้วันตายของตัวเองได้ว่าจะจบสิ้นเมื่อใด
คนเราล้วนหลายอาชีพ บางคนก็สามารถเลือกทำงานได้ แต่บางคนก็ไม่สามารถเลือกทำงานได้ ความจำเป็นในการดำรงชีวิตนั้นบีบบังคับให้ต้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ แต่ไม่มีทางเลือกจึงต้องทำด้วยภาวะจำยอมเพื่อปากท้องของตัวเองและครอบครัว
นายเบิ้มเป็นคนรูปร่างใหญ่ แต่การศึกษาไม่ค่อยสูงนัก เคยเข้าไปทำงานในกรุงเทพฯมาแล้วแต่ไปไม่ไหว จึงมาประกอบอาชีพเก่าคือ เป็นมือเพชฌฆาตฆ่าหมูเถื่อนเพื่อป้อนให้กับเขียงหมูในตลาด กระทั่งวันหนึ่ง ข้างบ้านจัดงานแต่งงาน ทางเจ้าภาพจะล้มหมูล้มวัว จึงได้ไปบอกกล่าวกับนายเบิ้มเป็นเพชฌฆาตให้ นายเบิ้มไม่ปฏิเสธเพราะเขากับเจ้าภาพคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และที่รับงานนี้ก็ไม่หวังตอบแทนอะไร ปกติแล้วนายเบิ้มจะไปโรงฆ่าสัตว์ตอนตีสอง
“เกือบชั่วโมง กับ หมูเจ็ดชีวิต”
เพียงแค่ชั่วโมงเดียวก็เสร็จแล้ว จากนั้นก็ช่วยลูกมือชำแหละแยกชิ้นส่วนอวัยวะต่างๆ และจะกลับบ้านไม่เกินหกโมงเช้า พร้อมกับเนื้อหมูไปให้ลูกเมียประกอบอาหาร เพื่อนบ้านเขาจะล้มวัวล้มหมูประมาณตีสามตีสี่เพื่อจะให้ทันปรุงอาหารเลี้ยง แขกที่จะมาร่วมงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบสิบกว่าปีก็ว่าได้ เพราะเจ้าสาวเป็นลูกกำนัน ส่วนเจ้าบ่าวเป็นนักการเมืองที่มีชื่อเสียงระดับจังหวัด และพ่อของเจ้าบ่าวก็เป็นนักการเมืองระดับประเทศเป็นส.ส.ติดต่อกันมาแล้วหลาย สมัย
การล้มหมูล้มวัวก็เพื่อเลี้ยงคนที่มาร่วมงานในตอนเช้าเท่านั้น เพราะในช่วงเย็นจะมีการจัดเลี้ยงแบบโต๊ะจีนที่หอประชุมในตัวจังหวัด โดยมีบุคคลสำคัญๆมาร่วมงานมากมาย จะว่าเป็นงานแต่งครั้งประวัติศาสตร์ของจังหวัดก็คงไม่ผิดนัก แล้ววันสำคัญก็มาถึง นายเบิ้มออกจากบ้านตีหนึ่งกว่า ซึ่งเร็วกว่าปกติเกือบชั่วโมง ตอนนั้นทางโรงฆ่าสัตว์เปิดแล้ว นายเบิ้มก็ลงมือเชือดหมูเคราะห์ร้ายตัวแรกทันที จากนั้นหันไปจัดการตัวอื่นๆ รวมทั้งสิ้นเจ็ดตัว โดยใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง เพราะไม่มีลูกมือช่วยจับโน่นจับนี่ใส่มือให้เหมือนทุกวัน
“กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด”
ระหว่างนั้นลูกมือที่มีเกือบสิบคนก็เริ่มทยอยมากันบ้างแล้ว และคนของกำนันก็มารอรับที่โรงฆ่าหมูรออยู่แล้วด้วย นายเบิ้มสั่งงานลูกมือเสร็จก็ขึ้นรถจักรยานยนต์ไปที่บ้านกำนันแม้นทันที ที่นั่นจะครึกครื้นพอสมควรเพราะมีวงเหล้า รวมทั้งเครื่องเสียงที่เปิดเพลงมาตลอดคืน ลูกมือที่กำนันแม้นจัดหาให้ก็นั่งดื่มเหล้ารอมาทั้งคืน นายเบิ้มเริ่มลงมือเชือดหมูเป็นตัวแรกก่อนจะลงมือเชือดวัวสลับกันไป จากนั้นก็บอกลูกมือที่พอจะเป็นอยู่บ้าง ชำแหละแยกชิ้นส่วนอวัยวะต่างๆโดยแบ่งหน้าที่กันไป ส่วนตัวเองนั่งพักดื่มเหล้าไปพลางๆ
เพราะยังมีหมูกับวัวอย่างละตัวให้เชือดอีก นายเบิ้มดื่มเหล้าได้สองสามแก้วก็ลงมือต่อโดยเริ่มฆ่าหมูเช่นเคยเพราะตัวเอง ถนัด หมูตัวที่สองใช้เวลานานพอสมควร เพราะมันทั้งดิ้นทั้งวิ่งเหมือนจะรู้ตัวว่าถึงวาระสุดท้ายของมันแล้ว กว่าจะจับได้ก็เสียเวลาไปเยอะ แถมยังใช้คนจับมากขึ้นกว่าจะเชือดได้ จนนายเบิ้มเองยังส่ายหน้า เพราะตั้งแต่เป็นมือเพชฌฆาตมาไม่เคยใช้เวลานานถึงนี้เลย หมูเคราะห์ร้ายตัวนั้นกรีดเสียงด้วยความเจ็บปวดอย่างโหยหวน จนบางครั้งถึงกับขนลุก และเสียงร้องของหมูตัวนั้นเองที่ปลุกชาวบ้านให้ลุกก่อนที่ขบวนขันหมากของ ฝ่ายเจ้าบ่าวจะมาถึงในเวลาเจ็ดโมงเช้า
“สะดุดม้านั่งตัวเล็ก มีดได้เสียบทะลุคอ”
นายเบิ้มผละจากหมูแล้วเดินไปหาเจ้าวัวหนุ่มเหยื่อสังเวยงานแต่งตัวต่อไป อย่างใจเย็นพร้อมกับมีดแหลมคมกริบอาวุธคู่มือ แต่ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบได้ เมื่อนายเบิ้มเดินไปสะดุดเอาม้านั่งตัวเล็กๆ ที่ใช้นั่งชำแหละเนื้อจนตัวเองเสียหลักล้ม ตัวนายเบิ้มเองถลาเป็นนกปีกหักก่อนที่จะล้มคว่ำลงกับพื้นอย่างไม่เป็นท่า และจังหวะนั้นเองที่ปลายมีดได้เสียบทะลุเข้าที่คออย่างจัง “โอ๊ยยยย…” นายเบิ้มร้องเสียงลั่นด้วยความเจ็บปวด มือกำมีดแน่น เพื่อนบ้านที่เป็นลูกมือกว่าสิบคนก็รีบกรูกันเข้าไปหา พอเห็นมีดปักคอของนายเบิ้มเช่นนั้น จึงร้องเอะอะโวยวายจนแตกตื่นไปทั้งคุ้ม
นายเบิ้มถูกหามขึ้นท้ายรถกระบะทั้งที่ยังมีมีดปักคออยู่
ระหว่างที่ถูกนำส่งโรงพยาบาลนั้น นายเบิ้มทั้งดิ้นทั้งร้องด้วยความเจ็บปวดไปตลอดทาง บางครั้งก็กรีดเสียงร้องเสียงแหลมๆเหมือนหมูที่ถูกเชือดคอยังไงยังนั้น สุดท้ายแล้วนายเบิ้มก็ปิดฉากชีวิตของการเป็นมือเพชฌฆาตอย่างน่าสังเวชก่อนจะ ถึงโรงพยาบาล
คุณละ…คิดยังไงกับเรื่องนี้
ที่มาเนื้อหาและภาพประกอบ : mthai.com
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น