2/21/2556

PHP maker คืออะไร พีเอชพี เมคเกอร์ คือโปรแกรมสำหรับสร้าง Web application

PHP maker คืออะไร


   PHP maker คือ โปรแกรมสำหรับสร้าง Web application โดยที่โปรแกรมเมอร์ไม่จำเป็นต้องมานั่งเขียนโค๊ด PHP เอง เพียงแค่ต้องออกแบบฐานข้อมูลให้ตรงกับความต้องการเท่านั้น โปรแกรมก็จะทำการเขียน คำสั่งของภาษา PHP ให้คุณทุกขั้นตอนและ PHPMaker Report กับการออกรายงานในรูปกราฟวงกรม กราฟเส้น กราฟแท่ง นับได้ว่าเป็นเครื่องมือใหม่ล่าสุดที่ได้พัฒนาขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกใน ด้านการออกแบบและการสร้างเว็บไซต์ให้กับนักพัฒนาเว็บไซต์ 
   ตัวโปรแกรมสามารถทำงานได้ทั้งในระบบปฏิบัติการ Windows (MySQL / PostgreSQL / Access / MSSQL) และLinux/ Unix servers (MySQL) PostgreSQL PHPMaker เป็นต้น




ข้อมูลอ้างอิง
http://pibul2.psru.ac.th
http://phpmaker.soft32.com/

2/20/2556

โคตรเซียน mysql ในตำนาน และ myisam กับ innodb ต่างกันอย่างไร

ภาคที่1
MySQL นับว่าเป็นหัวใจของ Web Server อีกตัวหนึ่งเลยก็ว่าได้เพราะว่า MySQL
นั้นเป็นแหล่งข้อมูลที่สามารถเรียกใช้งานได้อย่างรวดเร็ว วันนี้ผมจะเอาประสบการณ์เกี่ยวกับการ Config
MySQL มาให้อ่านกัน

ผมอิงตามรุ่น 4.1 โดยใช้กับ Server ที่ใช้ tis620 เป็น Default นะครับ

เริ่มต้นที่การ Compile PHP ให้สนับสนุน MySQL
ปกติแล้วสามารถ Compile PHP ให้สนับสนุน MySQL ด้วยการใช้ --with-mysql วิธีการนี้จะเป็นการใช้ MySQL
Lib Client ที่ Bundle มากับ PHP ครับ ซึ่งเป็น Version เก่า นอกจากนี้ยังมี Extension ใหม่ชื่อ MySQLi
ซึ่งถ้าจะใช้ MySQLi จะไม่สามารถใช้ MySQL Lib Client ที่ Bungle มาด้วยได้ มันจะตีกัน
ดังนั้นเริ่มต้นผมแนะนำให้คุณ Compile PHP ด้วย --with-mysql=/usr/local/mysql (หรือถ้า mysql
อยู่ที่อื่นก็ใช้ path อื่นแล้วกันครับ)

เพื่อความสะดวกในการใช้งานภาษาไทย มักจะ setup ใน my.cnf ว่า default-character-set = tis620
วิธีการนี้จะทำให้ MySQL ทำงานช้าลงไปประมาณ 20 - 30% แต่ไม่เป็นไรครับ
เพราะว่ายังไงผมก็ต้องใช้ภาษาไทยอยู่แล้ว

หลังจากใส่คำสั่งว่า default-character-set = tis620 ลงไปใน my.cnf แล้ว ผมที่ได้คือ MySQL Client
มันต๊องครับ เพราะว่า Charset ของ Server เป็น tis620 แต่ของ Client เป็น Latin ครับ ดังนั้นต้อง setup
เพิ่มอีกตัวหนึ่งคือ skip-character-set-client-handshake ใส่ส่วน my.cnf ครับ วิธีการนี้จะทำให้ Client
ทำงานที่ Charset เดียวกับ Server เลยครับ

skip-locking - อันนี้ถ้าจำไม่ผิดเขาเปลี่ยนชื่อเป็น skip-external-locking เกี่ยวกับการทำ Repicate
MySQL Server ผมไม่แน่ใจว่าถ้ามี Server เดียวจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพอะไรได้หรือเปล่า
แต่ใส่ไว้ก็ไม่เสียหายครับ

skip-thread-priority - เป็นการกำหนดครับว่าไม่ต้องให้ thread แซงคิวกันได้ MySQL จะให้ QUERY
แต่ละแบบมีความสำคัญไม่เท่ากัน ผมจำไม่ได้ว่าอะไรมากกว่าอะไร แต่การเอาหัวข้อนี้ออกทำให้ระบบ queue ของ
MySQL ไม่ต้องมายุ่งยากกับการจัดคิวและทำงานเป็น FIFO แทนครับ

skip-bdb - ไม่ได้ใช้ก็ข้ามไปครับ ถ้าใช้ bdb ก็ Comment บรรทัดนี้ซะ สำหรับผมแล้วผมใช้แค่ MYISAM กับ
INNODB ครับ

skip-networking - อันนี้เป็นการบอก MySQL Server ว่าไม่ต้อง Listen ที่ INET SOCKET ครับ ให้ Listen
ที่ UNIX SOCKET อย่างเดียวพอ อันนี้ไม่ได้เพิ่มความเร็วมากนัก แต่ลดโอกาสการโดนโจมตีได้ครับ

log-slow-queries - อันนี้ใช้เฉพาะเวลาที่ต้องการดูว่า Query อันไหนทำงานช้า จะได้มาปรับแต่งได้ครับ

ภาคที่ 2
การบริหาร Thread - ตัวแปรเกี่ยวกับ Thread ที่สำคัญของ MySQL คือ thread_cache
ตัวแปรนี้จะเป็นการไม่ทำลาย thread ของ MySQL ให้ต่ำกว่าเลขนี้ครับ ปกติก็เดาไปเรื่อยๆ ครับ โดยดูจาก
Status ของ MySQL ผมแนะนำให้ดูจาก phpMyAdmin ครับ สะดวกดี จะมีค่าเกี่ยวกับ thread คือ

Threads cached 143
Threads connected 7
Threads created 532
Threads running 1

Threads cached - คือจำนวน threads ที่อยู่ในโปรแกรม MySQL ตอนนี้ จะเห็นได้ว่ามี 143 threads
Threads connected - คือจำนวน threads ที่ใช้งานจริงๆ ครับ
Threads running - คือ threads ที่กำลังหาผลการ Query อยู่ครับ
Threads created - คือจำนวน threads ที่สร้างใหม่ตั้งแต่เริ่ม Server มาครับ ถ้าค่านี้เพิ่มเร็วเกินไป
ให้เพิ่มจำนวน Thread_cache ครับ ผลที่ได้คือ MySQL จะทำงานเร็วขึ้นนิดหน่อยเพราะว่าจะไม่ต้องเสียเวลา
สร้างและทำลาย Threads บ่อยๆ ครับ


ภาคที่ 3

MYISAM กับหน่วยความจำ ตัวแปรที่เราสนใจคือ

key_buffer=32M
sort_buffer_size=1M
read_buffer_size=1M
read_rnd_buffer_size=4M

- Key Buffer คือพื้นที่สำหรับ Cache ค่า Key ของแต่ละ Table ครับ โดยที่ Key ของ MySQL มี 3 ตัวคือ
PRIMARY, INDEX และ UNIQUE ครับ ปกติถ้ามีการใช้ Table MyISAM มากๆ ค่านี้ควรจะมากๆ ครับ
ของผมมีใช้ไม่มากเลยไม่ต้องใช้ค่า Key_Buffer มาก แนะนำ 16MB สำหรับแรม 256
และเพิ่มมากขึ้นเมื่อแรมมากขึ้น

- Sort Buffer คือหน่วยความจำที่ MySQSL แต่ละ Connection จะจองเพิ่ม เพื่อทำ Table Scan ครับ
ปกติถ้าคุณจะ Sort Field ที่ไม่ใช่ Key จะต้องใช้หน่วยความจำส่วนนี้เสมอ ให้ Setup เริ่มต้นตั้งแต่ 512K
ขึ้นไป เนื่องจากเป็นหน่วยความจำที่จะมีการจองเพิ่มต่อ Connection ดังนั้นจะไม่ควรจะ Setup
ให้สูงเกินเพราะว่าจะทำให้ MySQL ทำงานจนหน่วยความจำหมด

- Read Buffer คือหน่วยความจำที่ MySQL จะใช้ในการเก็บค่าที่อ่านจากตารางแบบต่อเนื่อง (คือไม่ได้ Sort)
ไม่จำเป็นต้องมากนักก็ได้ เพราะว่าปกติเราจะมีการทำ LIMIT ในการอ่านค่ามาแสดงบนเว็บอยู่แล้ว

- Read-Random Buffer Size คือหร่วมความจำที่ MySQL จะใช้เก็บค่าจากตารางแบบไม่ต่อเนื่อง (เช่นผลการ
Sort) ควรจะใหญ่กว่า Read Buffer

ของผมไม่ค่อยได้ใช้ MyISAM ค่าต่างๆ นี้เลยไม่ได้ Set เอาไว้มากนัก ครับ เดี๋ยวไปต่อภาค 4 เรื่องของ
tmp_table ครับ


ภาคที่ 4
ในภาดนี้เราจะพูดถึง tmp_table ปกติแล้วในการ Complex Query นั้น MySQL
จะทำการสร้างตารางผลลัทธ์ขึ้นมาในหน่วยความจำเป็น เป็น TABLE แบบ HEAP
แต่ถ้าตารางมีขนาดใหญ่กว่าค่าค่าหนึ่ง MySQL จะคัดลอกตารางนั้นลง Disk เป็น MyISAM TABLE ครับ
เราจะมาดูค่าค่านั้นกันครับ

ก่อนที่จะไปไกลกว่านั้น เรามาพูดถึง Complex Query ก่อนครับ โดยมากเราจะพูดถึง Query ที่มีการใช้ GROUP
BY, UNIQUE, LIKE และที่ไม่แน่ใจคือ SUB SELECT ครับ

วิธีการดูว่ามีการ Swap ลงหน่วยความจำมากน้อยแค่ไหน สามารถดูได้จาก
Created tmp disk tables 14652
Created tmp tables 222220

โดยเมื่อมีการสร้าง tmp_table MySQL จะเพิ่มค่า Created tmp tables ครับ และถ้ามีการ Swap ลง Disk
จะเพิ่มค่า Created tmp disk tables ปกติ ถ้านำสองค่านี้มาหารกัน คูณ ร้อย ไม่ควรจะเกิน 5-10% ครับ
ขึ้นอยู่กับว่าตารางที่คุณใช้ใหญ่เล็กอย่างไร มีความซับซ้อนมากแค่ไหน

ตัวแปรที่จะควบคุมการ Swap จะมี 2 ตัวคือ

tmp_table_size=32M
max_tmp_tables=32

โดยถ้า tmp_table ใหญ่กว่า tmp_table_size จะ Swap ลง Disk ครับ หรือถ้ามีจำนวน tmp_table มากกว่า
max_tmp_tables ก็จะ Swap ลง Disk เช่นกันครับ
ค่า tmp_table_size ปกติเป็น 32M และ max_tmp_tables จะเป็น 32 ครับ คุณไม่ควร Setup ให้สูงกว่า 2
เท่าของค่าปกติ แต่แนะนำให้ลองไปตรวจสอบครับว่าโปรแกรมของคุณมีทางที่จะ Optimize Query ได้มากแค่ไหน
หรือ จะใช้วิธีการ Cache ผมลัพธ์ของหน้าเว็บเข้ามาช่วยก็ได้ครับ



ภาคที่ 5 - Key Buffer แบบเชิงลึก

Key Buffer คือหน่วยความจำที่ MySQL จองไว้หนเดียว แล้วใช้งานแชร์กันทุกๆ Process
(ดังที่ได้พูดไว้ก่อนหน้านี้ครับ)

แต่เราจะมาพูดถึงประสิทธิภาพของ Key กันครับ ค่าที่น่าสนใจคือ

Key blocks unused 27683
Key blocks used 1312
Key read requests 1318393
Key reads 1344

คู่แรกจะบอกว่า Key Buffer ของคุณใช้งานไปมากน้อยแค่ใด ปกติแล้ว Key Blocks Unused จะไม่มากครับหรือเป็น
0 เลยก็ได้ อย่างตัวอย่างแสดงว่าเรากำหนดค่า Key_Buffer มากเกินไปครับ

คู่ที่สองถ้าเอา (Key read requests - Key reads) * 100 / Key read requests เราจะเรียกว่า Key Hits
Rate ครับ อย่างตัวอย่างคือ 99.9 ครับ แสดงว่า Key Hits Rate ดีมากครับ ปกติแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 95 -
99% ครับ ถ้าน้อยกว่านี้แนะนำให้เพิ่ม Key_Buffer ครับ สำหรับ Key Hits Rate นั้นจะต้องคิดเมื่อทำงาน
MySQL ไปแล้วสักพักนะครับ อาจจะ 2-3 วัน ครับ


ภาคที่ 6 - Table Cache

สำหรับ Table Cache นั้นเป็นการเปิด Handle ของ Table ทิ้งเอาไว้ครับ เพื่อการเข้าถึงข้อมูลใน Table
ได้อย่างรวดเร็วครับ แต่ถ้าคุณเพิ่มค่านี้มากๆ คุณอาจจะเกิดปัญหาว่า File Descriptor ไม่พอครับ
ถ้าผมจำไม่ผิดแนะนำให้เพิ่ม File Descriptor ได้จากการแก้ไขตัวแปร Kernel ที่ /proc/sys/fs/file-max
ครับโดยการใช้คำสั่ง

echo 392604 > /proc/sys/fs/file-max

ผมไม่แน่ใจว่าการใช้คำสั่ง ulimit จะได้ผลเหมือนกันหรือไม่

กลับมาต่อที่ table_cache ปกติแล้วถ้าในระบบที่มีตารางมากๆ table_cache
ควรจะครอบคลุมตารางพื้นฐานทั้งหมด และอีกประมาณ 50% ของตารางที่เหลือ
แต่ถ้าเป็นไปได้จะครอบคลุมทั้งหมดเลยก็ไม่ผิดแต่อย่างใด อย่างของผมเอง set ไว้ที่ 1024 เลยครับ

วิธีการจะดูว่า set ไว้น้อยเกินไปหรือเปล่า ให้ดูที่

Open tables 1024
Opened tables 1120

โดย Open tables คือจำนวน Table ที่เปิดอยู่ขณะนี้ และ Opened tables คือจำนวน Table ที่เปิดมาทั้งหมด
นับตั้งแต่เริ่ม MySQL Server มา โดยถ้าค่าของ Opened tables เพิ่มเร็วเกินไป แนะนำให้เพิ่มค่า
table_cache ครับ

วิธีการปรับค่า table cache ทำได้โดย เพิ่มบรรทัดนี้ใน my.cnf

table_cache=1024


ภาคที่ 7 Query Cache

Query Cache นั้นเป็นคุณสมบัติใหม่ที่มีใน MySQL รุ่นที่ 4.x ขึ้นมาครับ

Query Cache ทำงานง่ายๆ คือ ถ้ามี Query เหมือนเดิม MySQL จะเรียกจาก Cache แทนที่จะไป Query ใหม่ครับ

แต่ Query Cache ไม่ได้มีประโยชน์กับทุก Database Structure นะครับ Query Cache เหมาะกับ Table
ที่ไม่ค่อยได้ Update แต่มีจำนวน Records เป็นจำนวนมาก เช่น 50,000 records ขึ้นไป Query Cache จะใช้กับ
Select เท่านั้นครับ ถ้าระบบของคุณแตกต่างจากนี้การใช้ Query Cache อาจจะทำให้ได้ผลตรงกันข้ามก็ได้ครับ

วิธีการเปิดใช้งาน Query Cache ให้ใส่บรรทัดนี้ลงใน my.cnf ครับ

query_cache_type=1
query_cache_size=32M

query_cache_type จะมีได้ 3 ค่าคือ
0 - ปิด Query Cache
1 - เปิด Query Cache คุณสามารถสั่งให้ไม่ต้อง Cache ได้โดยการใช้ "SELECT SQL_NO_CACHE"
2 - แบบ On Demand คุณสามารถสั่งให้ MySQL Cache โดยการใช้ "SELECT SQL_CACHE"

ปกติแล้วถ้า Table มีการ Update แล้ว MySQL จะลบ Cache ของ Table นั้นๆ ทั้งหมดทันที และ Query Cache
นั้นเป็น Case Sensitive ครับ ดังนั้น

SELECT * FROM a WHERE b=1

กับ

select * from a where b=1

จะไม่เหมือนกันนะครับ ถ้าเราเรียกตัวแรกแล้วเรียกตัวที่ 2 ตัวที่ 2 จะไม่ได้เรียกจาก Cache

ดังนั้นถ้า
1. ในระบบของคุณมีการเขียน SQL แบบไม่ได้วางแผนเรืองตัวใหญ่ตัวเล็ก คุณจะได้รับประโยชน์จาก Query Cache
น้อยลง
2. ถ้า Table หลักๆ ของคุณมีการ Update ตลอดเวลา คุณจะได้รับประโยชน์จาก Query Cache น้อยลง
3. ถ้า Table หลักๆ ของคุณไม่ได้มีจำนวน Records มากคุณก็แทบจะไม่ได้รับประโยชน์จาก Query Cache
เลยครับ

แหล่งที่มา
http://www.thaiadmin.org/board/index.php?topic=18693.new

###innodb กับ myisam ต่างกันยังไง

ISAM (MyISAM) ซึ่งมีความรวดเร็วในการอ่านและเขียนสูง เนื่องจากมีการจัดเก็บไว้ในรูปแบบของแฟ้มข้อมูล
ซึ่งรองรับการอ่านข้อมูลพร้อมๆ กันได้ (เหมาะสำหรับ Web Application)
แต่อาจจะมีปัญหาเมื่อใช้งานกับระบบที่ต้องมีการอ่าน/เขียน ข้อมูลในตารางเดียวกัน พร้อมๆ กัน

ที่สำคัญ ฐานข้อมูลประเภท MyISAM จะมีปัญหาเรื่อง Index เสีย และ Data Corrupt บ่อยมาก หากใช้งานใน OS
ที่เป็น Windows และมีการ Shutdown อย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งทำให้ผู้ดูแลระบบต้องมีการซ่อมแซม (repair table
bad_table) ตารางทีมีปัญหาอยู่เรื่อยๆ

InnoDB ข้อดีคือ รองรับการทำ Transaction รองรับการอ่านและเขียน พร้อมๆ กันได้ดีกว่าฐานข้อมูลประเภท
MyISAM และยังมีระบบ Auto Data Recovery หากมีการ shutdown โดยไม่เหมาะสม (ไฟดับ)

ซึ่งในการใช้งานผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะให้ตารางใดเป็นประเภท InnoDB หรือ MyISAM
ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม (ว่าจะเลือกความเร็ว หรือ ประสิทธิภาพ)

สุดยอดเครื่องมือสร้างWeb-Base

จากการศึกษาและทดลองใช้โปรแกรมที่ใช้สำหรับสร้าง web-base ที่เป็น web Application สำหรับเป็นระบบที่สามารถจัดเก็บบันทึกข้อมูล แก้ไข ค้นหา และลบข้อมูล โดยมีการใช้งานผ่าน Browser ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มีโปรแกรมชื่อ PHPRunner(มาคู่กันกับ ASPRunner) เป็นเครื่องมือซึ่งจะสามารถสร้าง web-base Application ได้อย่างสมบูรณแบบที่สุด โดยสามารถทำได้ครบเป็นหนึ่ง website ได้เลย จากการทดสอบ PHPRunner v.6  ไฟล์ติดตั้งขนาดประมาณ 29 MB โดยมีความสามารถที่เครื่องมือตัวอื่นๆไม่มีดังนี้
                -สามารถสร้างได้ครบองค์ประกอบของwebsite
                -สร้างฐานข้อมูล MySQL พร้อมสร้าง Table ได้เองจากภายใน PHPRunner โดยไม่ต้องพึ่ง PhpMyAdmin
                -สร้างระบบการจัดการข้อมูล DBMS ได้สมบูรณ์ เพิ่ม/แก้ไข/ลบ/ค้าหา
                -มี Inline Edit และ Inline Add
                -สร้าง Drop-Down List ได้ อ่านค่าแบบ LooUp จาก Table ได้
                -สามารถสร้างระบบการ Login ที่ดีมาก ทั้ง Hardcode User/Pass และอ่านจาก Table  พร้อมทั้งสามารถกำหนด Permission ได้อีกด้วย
                -แสดงผลจากฐานข้อมูล เป็นรายงาน Report และเป็นกราฟ ได้
                -มี Editor สำหรับแก้ไขหน้าWeb แบบ WYSWYG แสดงได้ทั้ง Code และ Design
                     -ใช้งานง่ายเหมือนกับ Wizard

2/18/2556

แสดงข้อมูลและแบ่งหน้า ข้อมูลจากฐานข้อมูลด้วยDreamweaver (PHP+MySQL)

บทความก่อนหน้านี้ได้สอนท่านใช้โปรแกรม Dreamweaver ดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลมาแสดง ซึ่งเราได้เลือกข้อมูลทั้งหมดมาแสดง แต่ถ้าหากว่าเรามีข้อมูลที่จัดเก็บไว้มีหลักพันหรือหลักหมื่นเรคคอร์ดแล้ว ล่ะก็ การเลือกที่จะแสดงข้อมูลทั้งหมดในหนึ่งหน้า คงจะไม่ใช่วิธีที่ดีอย่างแน่นอน เพราะจะทำให้เว็บโหลดช้า ซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณของข้อมูลด้วย และส่งผลต่อการทำSEO เพราะการโหลดของหน้าเว็บใดๆจะต้องไม่เกิน 10 วินาทีครับ ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาก็คือ การแบ่งหรือแยกข้อมูลออกเป็นหลายๆหน้าครับ เพื่อช่วยลดเวลาในการโหลดข้อมูล
บทความนี้จึงจะสอนท่านใช้โปรแกรมDreamweaverแสดงข้อมูลและแบ่งหน้าข้อมูลครับ  โดยในอันดับแรกท่านจะต้องกลับไปทำตามขั้นตอนในบทความนี้ก่อนครับ->แสดงข้อมูลจากฐานข้อมูลด้วยDreameweaver ให้ทำตามขั้นตอนลงมาเรื่อยๆจนถึงหน้าต่างตัวเลือกเพื่อแสดงจำนวนข้อมูลดัง รูป
ให้เปลี่ยนตัวเลือกเป็นการแสดง ข้อมูลแค่ 10 แถวต่อหน้าเท่านั้น ดังรูป
จากนั้นไปที่แท็บ SEVER BEHAVIORS แล้วเลือก Recordset Paging ในส่วนของเมนูย่อย ให้เลือกทั้งหมด โดยคลิกทีละเมนูจนครบ ดังรูป

มันจะสร้างLinkให้เราขึ้น มา 4 Link คือ First( ไปหน้าเริ่มต้น) ,Previous(ไปหน้าก่อนหน้า),Next( ไปหน้าถัดไป),Last( ไปหน้าสุดท้าย)  จากนั้นให้คลิก Hightlight จาก First จนถึง Previous ดังรูป
แล้วไปที่ Show Region แล้วเลือก Show If Not First Page ดังรูปข้างล่าง
จากนั้นทำเหมือนเดิมครับ โดยคลิกHightlightที่ Next จนถึง Last ดังรูป
 แล้วให้เลือก Show Region และเลือก Show If Not Last page ครับ ดังรูป
ต่อไปเราจะให้แสดงข้อมูลอีกนิดหน่อยครับ คือแถวปัจจุบัน แถวสุดท้าย และแถวทั้งหมดครับ โดยไปที่ Display Record Count แล้วเลือกเมนูย่อยทั้งหมด ทีละรายการครับ 

 จะได้ผลลัพธุ์ดังรูปข้างล่าง และให้แทรกข้อความภาษาไทยเข้าไปตามผมได้เลยครับ ดังรูป
 ลองรันโปรแกรมดูครับ จะได้ผลลัพธุ์  ดังรูป

สำหรับวิธีแก้ไขการแสดงผลภาษาไทยให้เปิดไฟล์นี้ในมุมมอง Code แล้วให้แก้ไขโดยพิมพ์คำสั่ง mysql_query(“SET NAMES ‘utf8’”) แทรกเข้าไปให้ไฟล์ pdshow.php ต่อท้ายคำสั่ง mysql_select_db ดังรูป
จะได้ผลลัพธุ์ที่สมบูรณ์ ดังรูป

จะเห็นได้ ว่าผลลัพธุ์ที่ได้ทั้งหมดนี้ ผมไม่ได้เขียนCodeเองเลยครับ จะมีแค่ การแทรกคำสั่งเพื่อแสดงผลภาษาไทยเท่านั้น โดยโปรแกรมDreamweaver จะสร้างCode PHP ให้เราอัตโนมัติครับตามเมนูที่เราเลือก
ให้ท่านลองทำ ดูนะครับ และนำไปประยุกต์ใช้กับโปรเจ็คของท่าน อาจจะดูยุ่งยากหน่อยในตอนแรก หากทำเป็นแล้ว ต่อไปก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับเรา และมันจะช่วยลดเวลาในการเขียนCodeของเราได้เยอะเลย หากติดปัญหาตรงไหน สามารถสอบถามผมได้จากCommentด้านล่างเลยครับ

การสร้าง Site Dreamweaver ให้ใช้กับฐานข้อมูล Mysql ได้

หลายคนอาจจะสงสัยว่าจะสร้าง Site ให้กับ Dreamweaver เพื่อใช้งานกับ php และฐานข้อมูล mysql ได้อย่างไร ดังนั้นเรามาดูการสร้างไซต์ เพื่อเป็นพื้นฐานในการเขียนโปรแกรมในขั้นต่อไป

ขั้นตอนการทำ

1. สร้าง Folder สำหรับเก็บข้อมูลเว็บไซต์ ในที่นี้ผมสร้าง Folder Test ดังภาพ




2. จากนั้นทำการ Define Site มาที่ Folder ที่เราสร้าง ดังภาพ



3. ให้เราเลือกที่หน้าต่าง Databases สังเกตุว่าโปรแกรมติ๊กถูกอยุ่ 2 อันที่ Site ดังนั้นเราจะต้องทำ Testting Server ด้วยถึงจะใช้งานได้



4. กำหนดค่าให้กับ Testting Server ดังภาพ



5. หลังจากนั้นก็ Set ฐานข้อมูลได้เลยครับ ขอให้สนุกกับการทำเว็บไซต์

2/17/2556

แก้ปัญหา MySQL Table Lock ในตารางที่มีการ Update บ่อยๆ

ยังคงพบเห็นปัญหาการใช้งาน MySQL ได้บ่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อมีการนำใไปใช้ในเว็บไซท์ที่มีการใช้งานหนักๆ การออกแบบระบบเดิมไม่สามารถทำได้อย่างที่เคย โดยเฉพาะตัวเว็บบอร์ดทั้งหลาย

เร็วๆ นี้ก็พบการสอบถามเรื่องนี้กับปัญหาเจ้าตัว SMF มีอาการ Table Lock ซึ่งทำให้เว็บไซท์เข้าใช้งานได้ช้ามาก


ภาพตัวอย่างอาการ Table Lock ใน SMF

โดยปกติเว็บไซท์ส่วนใหญ่จะใช้ฐานข้อมูล MySQL โดยใช้ MyISAM Engine เนื่องจากความเร็วในการอ่านข้อมูล แต่เมื่อฐานข้อมูลมีปริมาณเรียกอ่านข้อมูลถี่มากขึ้น การแก้ไขข้อมูลก็จะทำให้เเกิดอาการ Table Lock มากขึ้นด้วย

ใน Table Level-Locking Engine ไม่ว่าจะเป็น MyISAM, MEMORY, MERGE นั้นทุกครั้งที่มีการแก้ไขข้อมูลในตารางจะทำการ Lock Table นั้นๆ ไม่ให้มีการอ่านข้อมูล จนกว่าการแก้ไขข้อมูลเหล่านั้นเสร็จเรียบร้อย ในตารางที่มีปริมาณเรียกอ่านข้อมูลถี่มากๆนั้น แค่เพียงคำสั่งแก้ไขเพียงคำสั่งเดียวก็ทำให้ session ที่เรียกอ่านข้อมูลอื่นๆ ต้องรอจนกว่าจะเสร็จสิ้นคำสั่งแก้ไข

ปัญหา Table Lock นั้นสามารถแก้ไขเบื้องต้นได้โดยการใช้ LOW_PRIORITY UPDATE และ DELAYED INSERT จาอภาพตัวอย่างจะเห็นว่าใน SMF มีการใส่คำสั่งเบื้องต้นเหล่านี้ไว้แล้วแต่ก็ไม่สามารถช่วยได้

ปัญหานี้วิธีแก้ที่ทำให้ปัญหานี้หายไปได้คือแก้ไขที่ตัว Storage Engine นั้นคือเปลี่ยนเป็น Row-Level Locking นั่นคือ INNODB นั่นเอง

ใน INNODB จะมีการทำงานในแบบ Row-Level Locking เมื่อมีการแก้ไขข้อมูลในตารางจะไม่ทำการ Lock ทั้งตารางแต่จะ Lock เพียง Row (ระเบียน) ที่ทำการแก้ไขทำให้ใน Session อื่นๆ ที่ทำงานเรียกอ่านข้อมูลสามารถทำงานได้พร้อมกัน ไม่เกิดอาการค้างเป็นเวลานาน เช่นใน Table-Level Locking Engine แน่นอนว่าได้มาซึ่งประสิทธิภาพที่ดีขึ้นก็ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนเนื่องจาก INNODB ต้องการหน่วยความจำมากกว่า MyISAM ในการใช้งาน และจะมีประสิทธิภาพสูงสูดเมื่อจัดสรรค์ หน่วยความจำให้เพียงพอกับขนาดของ INDEX ต่างๆ

เริ่มต้นเป็นโปรแกรมเมอร์

ในการพัฒนาโปรแกรมต่างๆนั้น จากประสบการณ์ของผมเห็นว่าการออกแบบเป็นส่วนสำคัญ การที่เราจะสามารถออกแบบสิ่งใดได้นั้น เราต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างน้อยก็ขอบเขต และข้อจำกัดของสิ่งๆนั้น เพื่อใช้ในการตัดสินใจ เช่น ขอบเขตต้องการให้เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังนครสวรรค์ บางคนอาาจะบอกว่านั่งรถ, บางคนอาจจะนั่งเรือ, บางคนอาจจะนั่งรถไฟ หรือแม้กระทั่งการนั่งเครื่องบิน

จะเห็นว่าขอบ เขตเป็นสิ่งสำคัญ ผลจากการทำงานได้เหมือนกันแต่กระบวนการทำงานต่างกัน ทำให้ค่าใช้จ่าย (Cost) ที่เกิดขึ้นต่างกันได้ จากประสบการณ์ ในกรณีที่เราพัฒนาโปรแกรมตามความต้องการของเรา แน่นอนว่าเรารู้ความต้องการ และขอบเขตของโปรแกรม แต่เมื่อเราพัฒนาโปรแกรมตวามความต้องการของผู้อื่น การระบุขอบเขตที่แน่นอนจำเป็นอย่างมาก เนื่องจากต้องใช้ในการออกแบบเลือกส่วนประกอบต่างๆในการพัฒนา

ข้อจำกัดนั้นเป็นส่วนที่เราจะสามารถระบุได้ว่าควรเลือกสิ่งใด เช่น การเลือกเลือกใช้ภาษาในการพัฒนา เมื่อเราต้องพัฒนา web application เราอาจจะมีตัวเลือกมากมาย เช่น perl, php, asp, c#.net, vb.net, python, jsp, ฯลฯ แต่ถ้าระบุว่าต้องทำงานบน *nix platform เราต้องรู้ว่าภาษาใดสามารถทำงานได้บน *nix platform ได้บ้างในที่นี้ตัวเลือกเราก็จะตัด asp, c#.net, vb.net ออกไปได้ ส่วนที่เหลือเราก็เลือกเอาตามความถนัด เนื่องจากภาษาต่างๆความสามารถเกือบจะเท่ากัน ต่างกันตรงที่ความยากง่ายในการพัฒนาเท่านั้น

ในทางการพัฒนาโปรแกรมนั้น ผมสามารถแยกการออกแบบได้เป็น 2 ส่วนคือ
  • Control flow การออกแบบเกี่ยวกับการควบคุมโปรแกรมในส่วนต่างๆ
  • Data flow การออกแบบเกี่ยวกับการจัดการข้อมูล
โดยปกติแล้วการออกแบบทั้ง 2 ส่วนจะต้องมีความสัมพันธ์กัน

การออกแบบ control flow ในที่นี้คือการออกแบบโครงสร้างการทำงานของโปรแกรม การตัดสินใจต่างๆ เช่น เมื่อ user เข้าใช้งานจำเป็นต้องมีการ authorize หรือไม,่ ถ้ามีจะมีกี่ level, permission ต่างๆเป็นอย่างไร, ฯลฯ โดยอาจจะเริ่มจากการเขียน policy ของโปรแกรมที่ต้องการ จากนั้นก็ลงรายละเอียดเป็น flow chart ในส่วนต่างๆ

บ่อยครั้งที่ผมไม่มีการเขียน policy และ flow chart เนื่องจากเหตุผลต่างๆ เมื่อเริ่มการ coding แล้วนั้นโปรแกรมส่วนใหญ่ไม่สามารถเขียนเสร็จได้ภายในวันเดียว ดังนั้น policy และ flow chart จะทำให้ในครั้งต่อๆไป เราสามารถทราบได้ว่าเป้าหมายเป็นจุดใด และต้องเขียนต่อที่ตรงไหน การที่มี policy และ flow chart นั้นจะช่วยได้มากหากมีการพัฒนาเป็นทีม

การออกแบบ data flow เป็นการออกแบบเกี่ยวกับการจัดการข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นการเก็บข้อมูล, การรวบรวมข้อมูล ฯลฯ โดยการออกแบบ data flow ที่ดีนั้นต้องให้มีการไหลของข้อมูลได้ดีและปลอดภัยที่สุด ความปลอดภัยของข้อมูลเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง แม้ข้อมูลบางอย่างเช่น ข้อมูลการรักษาสิวของนาย ก. อาจจะไม่มีค่าแต่ก็จำเป็นต้องรักษาไว้ให้ดีที่สุด เนื่องจากเป็นข้อมูลส่วนบุคคล

คุณติดอยู่ในโลกของ Table หรือไม่

ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ นักพัฒนาเว็บไซท์หลายๆ คนเปลี่ยนแปลงการออกแบบหน้าเว็บไซท์ด้วยโครงสร้างตาราง (Table) ที่ซับซ้อน มาเป็นการใช้โครงสร้างด้วย div แทน คุณรู้หรือไม่ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

การ ใช้ตารางนั้นเป็นที่คุ้นชินของคนเรา เนื่องจากทุกวันนี้เราได้ใช้ข้อมูลในรูปแบบตารางต่างๆ มากมายจึงมีการใช้ในการออกแบบเว็บไซท์กันอย่างแพร่หลาย แต่ตารางเองก็มีปัญหาในเรื่องความยืดหยุ่น ในความเป็นจริงแล้วตารางถูกออกแบบ มาเพื่อการแสดงผลในรูปข้อมูลตาราง การทำมาใช้ในการออกแบบโครงสร้างเว็บไซท์นั้น จึงไม่ถูกตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว และด้วยจำนวน tag ที่ถูกใช้ในการสร้าง กรอบข้อมูลกรอบหนึ่งที่ต้องใช้จำนวนถึง 3 tag (table, tr, td) และเมื่อมีการออกแบบโครงสร้างที่ซับซ้อนที่เป็นตารางซ้อนตาราง (Nested Table) เพื่อให้ได้การแสดงผลตามที่ต้องการนั้น ยิ่งทำให้เกิดการใช้ tag ที่ฟุ่มเฟือยมากยิ่งขึ้น ในการสำรวจสอบ MAMA (Metadata Analysis and Mining Application) ซึ่งเป็น Search Engine เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างของเว็บไซท์ของ Opera นั้นได้มีการบันทึกไว้ว่า การใช้งานตารางในการออกแบบเว็บไซท์นั้นมีปริมาณ 82.47% ของเว็บไซท์ทั้งหมด และด้วยการสำรวจสอบ MAMA นั้นได้บันทึกข้อมูลไว้ว่ามีเว็บไซท์ที่ใช้ตารางซ้อนกันมากสูงสุดถึง 745 ชั้น

ในการออกแบบเว็บไซท์หนึ่งๆ ที่มีส่วนหัว ส่วนเนื้อหาที่แบ่งเป็น 2 column และส่วนท้ายของเว็บไซท์นั้นเราสามารถเขียนด้วยตารางได้เป็น
HTML
  1. cellpadding="0" cellspacing="0" border="0">
  2.     colspan ="2" height="120px" id="menu"></td></tr>
  •     valign ="top" id="leftContent"></td>valign
  • ="top" id="rightContent"></td></tr>
  •     colspan ="2" id="footer"></td></tr>

  • แต่ถ้าเราเขียนด้วย div จะได้เป็น
    HTML
    1. id="menu"></div>
    2. id="leftContent"></div>
    3. id="rightContent"></div>
    4. id="footer"></div>

    จะ เห็นได้ว่าการใช้ตารางในการออกแบบโครงสร้างนั้นต้องใช้จำนวน tag มากกว่าการออกแบบโครงสร้างโดยใช้ div มาก โดยอาจจะต่างกันถึง 1 เท่าตัว คุณอาจจะสงสัยว่าแล้วมันมีประโยชน์อะไร อย่าลืมว่าการแสดงหน้าเว็บไซท์นั้น Browser นั้นจะทำการโหลดเอกสาร HTML มาก่อนแล้วจึงโหลด media ต่างๆ ในเอกสาร ดังนั้นการลดขนาดของเอกสาร HTML ได้นั้นก็สามารถเพิ่มความเร็วในการเรียกดูเว็บไซท์ได้มาก

    และในการทำ Search Engine Optimization (SEO) การออกแบบโครงสร้างด้วยตารางนั้น จะส่งผลให้ถูกจัดอันดับรองจากการออกแบบด้วย div เนื่องจากตัว Search Engine นั้นต้องใช้ตรรกะในการที่ซับซ้อนตามโครงสร้างของเว็บไซท์ไปด้วย

    และ การใช้การออกแบบโครงสร้างด้วยตารางนั้น มีความยืดหยุ่นน้อยกว่า ตัวอย่างเช่น เมื่อมีการพิมพ์หน้าเว็บไวท์การแสดงด้วยตารางนั้น จะสามารถจัดรูปแบบเพื่อการพิมพ์ได้ยากกว่าการใช้ div หรือไม่สามารถซ่อนเนื้อหาบางอย่าง เมื่อใช้ในการแสดงบนอุปกร์สื่สารเคลื่อนที่ต่างๆ

    วันนี้คุณยังติดอยู่ในโลกของตารางหรือไม่

    ทำความรู้จักกับ INNODB Engine

    InnoDB Database Engine เป็น Database Engine หนึ่งของ MySQL ที่เป็นที่นิยมเช่นเดียวกับ MyISAM เหตุผลหนึ่งที่ส่วนใหญ่นักเขียนโปรแกรมใช้ MyISAM คือความเร็วของการ Query แต่ InnoDB นั้นแม้ความเร็วจะสู้ไม่ได้แต่ก็ยังเป็นที่นิยมเพราะอะไร เรามาเปรียบเทียบ Engine ทั้ง 2 แบบกันว่าต่างกันอย่างไร



    MyISAMInnoDBMEMORYNDB
    Multi-statement transactions, ROLLBACK-X-X
    Foreign key constraints-X--
    Locking leveltablerowtablerow
    BTREE indexesXX-X
    FULLTEXT indexesX---
    HASH lookups-XXX
    Other in-memory tree-based index--4.1.0-
    GIS, RTREE indexes4.1.0---
    Unicode4.1.04.1.2--
    Merge (union views)X---
    Compress read-only storageX---
    Relative disk uselowhigh-low
    Relative memory uselowhighlowhigh


    อ้างอิงจาก http://dev.mysql.com/tech-resources/articles/storage-engine/part_3.html

    จะเห็นว่า InnoDB มีข้อดีเหนือ MyISAM คือ การรองรับ Transaction, Foreign Key, มี Hash Lookup, และการ Lock ได้ถึงระดับ Row

     แต่ก็มีข้อเสียคือขาดการทำดัชนีแบบ FULLTEXT, GIS และ RTREE, ไม่มีการ Union Views, ไม่มีการบีบอัด และใช้ทรัพยากรมากกว่า

    แต่เหตุใด InnoDB ยังคงเป็นที่นิยม?

    1. การทำ Transaction ซึ่งไม่มีใน Engine อื่นๆ นอกจาก InnoDB และ NDB เท่านั้น
    2. ทำสามารถ Lock ได้ระดับ Row ทำเขียนและอ่านได้ในเวลาเดียวกัน
    3. มีการทำ Hashing ดัชนี
    นอก จากความสามารถสำคัญเรื่องการทำ Transaction ได้แล้วนั้น สิ่งสำคัญที่มีการเลือกใช้ InnoDB คือ การ Lock ระดับ Row แม้ว่า จะมีการใช้ทรัพยากรที่มากกว่า แต่ด้วยการที่สามารถ Lock ระดับ Row ทำให้สามารถเขียน (Insert/Update/Delete) ในเวลาเดียวกับการอ่าน (Select) ได้ ทำให้เกิดความเร็วไม่ต้องรอการเขียนเสร็จก่อนเช่นใน MyISAM

    ส่วน สำคัญอีกอย่างคือ InnoDB ได้แยกการทำดัชนี (index) ออกจากตารางข้อมูลและทำ Hashing ดัชนีไว้ด้วยเทคนิคนี้ทำให้การค้นหาเข้าถึงได้รวดเร็ว

    จาก การทดสอบความเร็วนั้นการ Query ข้อมูลจากตารางน้อยๆ 2-3 ตาราง MyISAM สามารถทำความเร็วได้ดีกว่า แต่เมื่อมีการทำงานกับหลายตาราง >3 ตารางขึ้นไป โดยเฉพาะเมื่อมีข้อมูลหลายล้าน record ขึ้นไปนั้น InnoDB สามารถทำความเร็วได้ดีกว่า เพราะเทคนิคการทำ Hashing ดัชนีแยกไว้นั่นเอง

    MyISAM นั้นเนื่องจากไม่มีการ Lock ระดับ Row จึงไม่เหมาะกับงานที่มีการเขียนข้อมูลพร้อมกับการเรียกใช้บ่อยๆ ถ้ามีการเขียนและการอ่านพร้อมๆ กันควรเลือกใช้ InnoDB ดีกว่า ต่อไปเมื่อมีความจำเป็นต้องใช้งาน MySQL ควรเลือก Database Engine ให้เหมาะสมครับ

    2/11/2556

    Firefox บล็อก ปลั๊กอินทุกตัว ยกเว้น แฟลช เวอร์ชั่นล่าสุด

    มอสซิลล่า (Mozilla) กำลังจัดการกับปัญหาการถูกโจมตีที่เกิดขึ้นจากการดาวน์โหลดคอนเท็นต์อันตราย บนเว็บด้วยการพัฒนาเครื่องมือยับยั้งไว้ที่ดีฟอลต์การทำงานของโปรแกรมเลย โดยจะมีการยับยั้งการทำงานของปลั๊กอินทุกตัวในบราวเซอร์ Firefox ยกเว้นแฟลช (Flash) เวอร์ชันล่าสุด
    http://www.arip.co.th/images/news/firefox/firefox-blocks-all-plug-ins-to-stop-downloading-attack-with-Click-to-Play-feature.jpg
    คุณสมบัติ Click to Play ที่เพิ่งออกมาพร้อมกับ Firefox เร็วๆ นี้ จะทำหน้าที่ควบคุมการเปิดปิดปลั๊กอิน เมื่อเว็บไซต์ร้องขอให้โหลดปลั๊กอินดังกล่าว แม้ว่าปลั๊กอินเหล่านั้นจะเป็น ได้รับการยอมรับอย่างถูกต้อง และมีการใช้งานบนเว็บไซต์ทั่วโลกก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น แฟลช ซิลเวอร์ไลท์ (silverlight) หรือจาวา (Java) เนื่องจากระยะหลังผู้บุกรุกมักจะใช้ช่องโหว่ที่พบในปลั๊กอินเหล่านี้ โดยเฉพาะเวอร์ชันที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขข้อบกพร่องในการทำงานบ่อยขึ้น ซึ่งทำให้แฮคเกอร์สามารถเจาะเข้าไปควบคุมระบบการทำงานบนคอมพิวเตอร์ของ เหยื่อได้เป็นจำนวนมาก สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับการตัดสินใจดังกล่าว แทนที่บราวเซอร์ Firefox จะโหลดปลั๊กอินใดๆ ที่ถูกเรียกโดยเว็บไซต์ที่เข้าไปเยี่ยมชมโดยอัตโนมัติ ผู้ใช้ Firefox จำเป็นต้องคลิกอนุญาตให้ปลั๊กอินนั้นๆ ทำงาน หรือคอนฟิกผ่าน Click to Play ให้ยอมรันปลั๊กอินเฉพาะบางเว็บไซต์ที่ต้องการโดยอัตโนมัติ


    คุณสมบัติ การควบคุมการทำงานของปลั๊กอินด้วย Click to Play เป็นมาตรการการตอบโต้การโจมตีเว็บที่เกิดขึ้นจากการใช้ซอฟต์แวร์เวอร์ชันที่ มีช่องโหว่ แล้วยังไม่ได้รับการแพตช์อย่าง Flash และ Java แผนการยับยั้งแบบสุดโต่งนี้จะเป็นการบังคับให้ปลั๊กอินทุกตัวที่ถูกเรียกโดย เว็บไซต์ต่างๆ ไม่สามารถรันได้โดยอัตโนมัติ ยกเว้น Flash เวอร์ชันปัจจุบันที่สามารถรันได้โดยไม่ถูก Click to Play ยับยั้งแต่อย่างใด สำหรับปลั๊กอินที่ Click to Play บล็อคการทำงานทันทีที่พบว่ามีการร้องขอโดยบราวเซอร์ ส่วนใหญ่จะเป็นปลั๊กอินที่มีความเสี่ยงต่อการถูกโจมตีในขณะนี้ Click to Play เป็นคุณสมบัติการทำงานที่มอสซิลล่าเพิ่มเข้ามาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ด้วยวัตถุประสงค์ เพื่อต้องการให้ผู้ใช้สามารถป้องกันตัวเองจากการถูกโจมตีโดยช่องโหว่ที่พบใน Java และยังไม่ได้รับการแก้ไข แต่มีการนำไปใช้ในการโจมตีแล้ว (เรียกว่า Zero-day flaw) ซึ่งการบล็อคปลั๊กอินเหล่านี้ตั้งแต่ก่อนที่่มันจะทำงานจะช่วยลดความเสี่ยง ในการถูกโจมตีเนื่องจากการโหลดโค้ดอันตรายบนหน้าเว็บต่างๆ ได้นั่นเอง

    5 เหตุผล ทำไม?นักพัฒนาเลือก Android

    Anroid เป็นแพลตฟอร์มสำหรับนักพัฒนาโปรแกรมมือถือที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความแกร่งที่ถูกฟูมฟักโดย Google และการ ซัพพอร์ตของผู้ผลิตมือถือ-สมาร์ทโฟน ทำให้นักพัฒนาสามารถเรียนรู้เทคนิคการพัฒนาโปรแกรมสำหรับ Android และนำไปสร้างเป็นธุรกิจได้ในอนาคต


    IBM บริษัที่เราคุ้นหูกันเป็นอย่างดีได้ทำการวิจัยในหมู่ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน พัฒนาแพลตฟอร์ม จากกลุ่มตัวอย่างนักพัฒนมืออาชีพ 4,000 คน โดยมี 5 เหตุที่พวกเขาเลือก Android ว่า
    1. หากคุณเป็นผู้มีความรู้พื้นฐานของการเขียนโปรแกรม คุณสามารถนำแนวคิดของคุณมาประยุกต์ใช้เพื่อเขียนแอพพลิเคชั่น Android ได้

    2. เครื่องมือ, แพลตฟอร์ม, เฟรมเวิร์ค ต่างๆ เป็นทรัพยากรของการสร้างแอพพลิเคชั่นที่สามารถหาใช้ได้แบบฟรีๆ

    3. จำนวนที่เพิ่มขึ้นของอุปกรณ์ที่สามารถรองรับกับแพลตฟอร์ม Android

    4. ตลาดของ Android ที่โตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหาจุดอิ่มตัวได้ยาก

    5. การเป็นโปรแกรมเมอร์ทางด้าน Android ยังช่วยส่งเสริมให้การหางานนั้นง่ายยิ่งขึ้น บวกกับกำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากของตลาดแอพพลิเคชั่น

    เชื่อมั่นว่า จากวันนี้และต่อไปในอนาคต จะมีผู้ใช้ Android เพิ่มมากขึ้น อุปกรณ์ในชีวิตประจำวันต่างๆจะถูกประยุกต์เข้ากับระบบ Android แทนที่จะเป็นในมือถือเพียง
    อย่างเดียว แอพพลิเคชั่นบนแพลตฟอร์มหุ่นตัวเขียวจะได้รับการพัฒนาให้มีความหลากหลาย ที่สำคัญนักพัฒนาแอพจะยิ่งเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้นด้วยเช่นกัน

    ที่มำ : http://www.arip.co.th/news.php?id=416239
    กลุ่มสนับสนุนและให้บริกำรระบบงำนคอมพิวเตอร์
    เดือนมกรำคม 2556

    2/10/2556

    รีวิว ระบบปฏิบัติการ Windows 8 อีกขั้น ของระบบปฏิบัติการ ที่รวมประสบการณ์การใช้งานทั้ง PC และ Tablet เข้าด้วยกัน

    [31-ตุลาคม-2555] ปฏิเสธไม่ได้ว่า ระบบปฏิบัติการ Windows นั้นยังคงเป็นระบบปฏิบัติการที่มีผู้ใช้งานมากที่สุด และแน่นอนว่า ทุกครั้งที่มีการเปิดตัว Windows เวอร์ชั่นใหม่ๆ ย่อมต้องได้รับความสนใจมากเป็นธรรมดา ซึ่งระบบปฏิบัติการตัวล่าสุดอย่าง Windows 8 นั้น ก็กำลังเป็นที่สนใจของผู้ใช้งาน Windows มากขึ้นเรื่อยๆ และในวันนี้ ทีมงานได้มีการนำเอา การรีวิว Windows 8 จากเว็บไซต์ ต่างประเทศ​มาให้ได้ชมกัน เราลองมาดูกันว่า Windows 8 จะน่าใช้มากแค่ไหน

    การติดตั้ง

    สำหรับขั้นตอนการติดตั้งของ Windows 8 นั้นถือว่าทำได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่คุณใส่แผ่นดิสก์ ที่มีตัวติดตั้งของ Windows 8 และทำตามขั้นตอนที่เห็นบนหน้าจอ ก็สามารถติดตั้งได้อย่างสะดวกสบาย นอกจากนี้ ระยะเวลาในการติดตั้งนั้น ยังถือว่าเร็วกว่าแต่ก่อนพอสมควรอีกด้วย
    นอกจากนี้สำหรับท่านที่ต้องการอัพเกรดจาก Windows 7 ไปเป็น Windows 8 นั้นจะยังมีตัวเลือกสำหรับการแบคอัพ แอพพลิเคชั่น เพื่อนำไปใช้งานบน Windows 8 ได้อีกด้วย แต่การที่จะเลือกให้แบคอัพแอพพลิเคชั่นต่างๆเพื่อใช้งานบน Windows 8 นั้น จะทำให้การติดตั้ง ใช้เวลานานขึ้นกว่าเดิมพอสมควร
    ซึ่งเมื่อติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะมีขั้นตอนสำหรับ ตั้งค่าผู้ใช้ และเข้าสู่การใช้งาน Windows 8 ซึ่งเราสามารถปรับเปลี่ยนสีของ ธีม ได้ตามใจชอบ ในทุกเวลาที่คุณต้องการ ซึ่ง Interface แรกที่คุณจะได้พบหลังจากติดตั้ง Windows 8 เสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น จะทำให้คุณรู้สึกถึงความทันสมัยของระบบปฏิบัติการในยุคใหม่กันเลยทีเดียว

    Start Page และ User Interface

    สิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดของ Windows 8 นั่นก็คือ Startpage ที่ไม่หลงเหลือเค้าเดิม ของวินโดวส์เวอร์ชั่นก่อนหน้าเลย ซึ่งหน้าตาแบบใหม่นั้น ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับการใช้งานด้วยการใช้ระบบทัช มากขึ้น แต่ไม่ต้องกังวลไป หน้าตาของการใช้งานแบบเดิมๆ ยังคงมีอยู่บน Windows 8 อย่างแน่อนน
    และในหน้า Start page นี่เอง จะประกอบด้วย Application ต่างๆ ที่สามารถใช้งานได้อย่างดีเยี่ยม หากคุณเคยใข้งาน Windows Phone มาบ้าง จะรู้สึกว่า Windows 8 นั้น มีการออกแบบที่ต่อยอดมาจาก Windows Phone อย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว
    นอกจากนี้ คุณยังสามารถจัดการไอค่อนต่างๆบน Start Page ได้อย่างง่ายดาย โดยการคลิกที่ไอค่อนค้างไว้ แล้วลากไปยังตำแหน่งต่างๆ ตามที่คุณต้องการจะจัด รวมไปถึง การคลิกขวา เพื่อโชว์เมนูต่างๆว่าเราจะสามารถทำอะไรกับไอค่อนเหล่านี้ได้บ้าง
    สำหรับ จุดเด่นของ Start Page บน Windows 8 คือคุณสามารถค้นหาแอพพลิเคชั่น หรือเข้าใช้งาน แอพพลิเคชั่น ได้อย่างง่ายดาย บนอินเทอร์เฟสที่สวยงาม ซึ่งหากคุณมีหน้าจอแบบทัชสกรีน คุณจะยิ่งรู้สึกถึง ความสะดวกในการใช้งานมากขึ้นไปอีก
    แน่นอนว่าคุณยังสามารถกลับเข้าใช้งานในโหมด Desktop ที่คุณคุ้นเคย ซึ่งหน้าตานั้นจะมีความคล้ายคลึงกับ Windows 7 อย่างมาก แต่คุณสามารถสลับไปยัง Start Page ได้ทุกเวลาที่ต้องการ แต่สำหรับการใช้งานในโหมด Desktop นั้นจะมีความแตกต่างจากการใช้งานจากหน้า Start Page อย่างเห็นได้ชัด
    ยกตัวอย่างเช่น การ ตั้งค่าต่างๆใน Setting หากคุณใช้งานบน Desktop Mode อินเตอร์เฟสก็จะเป็นแบบที่คุณคุ้นเคยบน WIndows 7 แต่หาก ต้องการตั้งค่าที่ Start Page จะให้ความรู้สึกเหมือนคุณกำลังใช้ Tablet ที่มีเมนูการตั้งค่าที่เหมาะสำหรับการ ทัชเป็นอย่างมาก

    แอพพลิเคชั่นสำหรับ Windows 8

    แอพพลิเคชั่นมากมายที่ถูกติดตั้งมาพร้อมกับ Windows 8 ยกตัวอย่างเช่น แอพพลิเคชั่น Mail ที่จะช่วยจัดการเกี่ยวกับอีเมลล์ของคุณได้อย่างง่ายดาย โดยคุณสามารถใช้งานร่วมกับอีเมลล์ใดๆก็ได้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็น hotmail คุณสามารถใช้ Gmail, Yahoo หรือ อีเมลล์อื่นๆได้ตามต้องการ
    แอพพลิเคชั่นอีกตัวที่น่าสนใจนั่นก็คือ Calendar ที่คุณจะสามารถบันทึกข้อมูลสำคัญๆ ลงในปฏิทิน นอกจากนี้ ตัวแอพพลิเคชั่นเองยังมีการ Intergrate กับ Google Calendar อีกด้วย หากคุณใช้งาน Google Calendar อยู่ ตัวแอพพลิเคชั่น จะทำการ Sync ข้อมูลเข้ามาให้อัตโนมัติ
    และแอพพลิเคชั่น Messaging สำหรับขาแชท หากคุณเป็นคนนึงที่เล่น MSN เป็นประจำ แต่ยิ่งไปกว่านั้น คุณยังสามารถแอด Account Facebook หรือ โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คอื่นๆที่รองรับ เพื่อใช้งานสำหรับการแชท โดยเฉพาะ Facebook Chat ได้อีกด้วย
    Wather Apps ก็ถือว่าออกแบบมาได้อย่างสวยงามเหมาะมากสำหรับการเปิดทิ้งไว้ดู เพลินๆ ยามว่าง โดยแอพพลิเคชั่นนี้ จะทำการพยากรณ์อากาศล่วงหน้า ในสถานที่ต่างๆแบบ Real-Time
    แอพพลิเคชั่นสำหรับเช็คข่าวสาร ก็มีมาให้พร้อมสำหรับการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น News, Financial, และ Sports Apps โดยจะมาพร้อมกับอินเทอร์เฟสที่สวยงาม คุณสามารถติดตามข่าวสารต่างๆได้อย่างง่ายดาย ผ่าน Windows 8
    สำหรับ Xbox Music นั้น คุณยังสามารถดาวน์โหลดเพลงฮิต ติดชาร์จ มาฟังได้อย่างง่ายดาย รวมไปถึง Xbox Video ที่จะมี หนังต่างๆให้คุณได้เลือกซื้อ อีกทั้งยังมีรายการทีวีให้เลือกชมกันอีกมากมาย
    และแน่นอน Windows 8 มาพร้อมกับ Windows 8 Store ที่คุณสามารถซื้อหรือดาวน์โหลด Application เจ๋งๆที่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานกับ Windows 8 ได้อย่างลงตัว จะให้เปรียบเทียบก็คงจะเหมือนกับ Appstore บน iOS หรือ PlayStore ของ Google นั่นเอง

    ประสิทธิภาพของ Windows 8

    เรียกได้ว่าประสิทธิภาพของ Windows 8 นั้นดีขึ้นจากเดิมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการเรียกใช้งานแอพพลิเคชั่นต่างๆ สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่น หากคุณใช้ Search Bar ของ Windows 8 คุณจะรู้สึกว่า มันเร็วกว่าการค้นหาไฟล์หรือโปรแกรมบน Windows 7 อย่างมาก
    นอกจากนี้ในเรื่องของความเร็วในการ Boot เครื่องของ Windows 8 นั้นยังทำได้เร็วกว่าพอสมควร ซึ่งจากการจับเวลาการ Boot ของ Windows 8 จะใช้เวลาประมาณ 15 - 20 วินาที ในขณะที่ Windows 7 นั้นจะใช้เวลาประมาณ 30-40 วินาทีเลยทีเดียว ยิ่งถ้าคุณมี อุปกรณ์เก็บข้อมูลแบบ SSD แล้วล่ะก็ คุณจะรู้สึกว่ามันรวดเร็วจนน่าตกใจเลยทีเดียว

    สรุป

    ว่ากันว่า ถึงแม้ว่า Windows 8 จะมีีความน่าใช้งานมากแค่ไหน แต่ Windows 7 ยังถือว่าเป็นระบบปฏิบัติการ ที่เป็นมาตรฐานในปัจจุบัน ซึ่งน่าจะครองตำแหน่งนี้ไปด้วยระยะเวลายาวนานอีกพอสมควร เนื่องจากผู้้ใช้หลายคน อาจจะยังไม่มีความจำเป็นที่จะเปลี่ยน และอาจจะไม่อยากที่จะต้องเริ่มต้นสร้างความเคยชินใหม่ กับระบบปฏิบัติการใหม่
    แต่ในความเป็นจริงแล้ว Windows 8 นั้นถือว่า Microsoft นั้นออกแบบมาได้อย่างทันสมัย และง่ายต่อการใช้งานมากขึ้น คุณยังคงสามารใช้งานในโหมด Desktop ที่คุณถนัด และ คุณยังสามารถสลับไปใช้ การแสดงผลแบบใหม่ที่สวยงาม ในเวลาที่คุณต้องการ
    นอกจากนี้ ความเร็วและความสเถียรที่มากขึ้นกว่าเวอร์ชั่นก่อนหน้านั้น ถือเป็นจุดแข็งที่ทำให้ Windows 8 นั้นมีควาวมน่าสนใจมากขึ้น และแน่นอนว่า เมื่อคุณได้ลองใช้งานจริง คุณอาจจะติดใจกับหน้าตาแบบใหม่ของ Windows 8 จนอาจจะไม่อยากกลับไปใช้ของเดิมอีกเลยก็เป็นได้

    Windows 8 จะเหมาะ หรือ ไม่เหมาะสำหรับทุกคน

    Pic_283786


    ไมโครซอฟท์เปิดตัว Windows 8 พร้อมกันทั่วโลก 26 ตุลาคมนี้ หากมองเผินๆ มันคือ โอเอสตัวต่อมาจาก Windows 7 คนส่วนหนึ่งคิดว่า อีกสักพักเราก็คงเปลี่ยนจาก Windows 7 มาเป็น Windows 8 ตามวงรอบการอัพเกรด แต่การคิดแบบนี้มันผิด!!

    ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่าผมไม่ได้มีจุดประสงค์หรือเป้าหมายอันใดจะโจมตี Windows 8 นะครับ แต่ในฐานะคอลัมนิสต์ด้านไอทีที่ลองใช้ Windows 8 มาพักใหญ่ๆ แล้ว ผมคิดว่าเราควรจะตรงไปตรงมากับผู้บริโภค ซึ่งในที่นี้ก็คือผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์สักหน่อย

    ข่าวใหญ่ที่สำคัญในรอบเดือนนี้คงเป็นข่าวว่าไมโครซอฟท์พัฒนา Windows 8 เสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่มันยังไม่ขายจริงเพราะไมโครซอฟท์จะต้องส่ง Windows 8 ให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ทั้งหลายนำไปติดตั้งบนเครื่องเสียก่อน และจะเปิดตัวพร้อมกันทั่วโลก 26 ตุลาคมนี้ ซึ่งตอนนั้นคงเป็นข่าวใหญ่โตแน่นอน

    ถ้ามองเผินๆ Windows 8 ถือเป็นระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ล่าสุดจากไมโครซอฟท์ นับรุ่นต่อจาก Windows 7 ที่หลายคนคงใช้งานกันอยู่แล้ว ดังนั้นมันก็ไม่น่าจะมีอะไรผิดธรรมเนียม อีกสักพักเราก็คงเปลี่ยนจาก Windows 7 มาเป็น Windows 8 ตามรอบของการอัพเกรดทั่วๆ ไป

    ต้องขอแสดงความเสียใจด้วยว่า รอบนี้มันเป็นวิธีคิดที่ผิดครับ

    Windows 8 นับรุ่นต่อจาก Windows 7 ก็จริง ตัวเลขเพิ่มมาอีกแค่หนึ่ง แต่คราวนี้ไมโครซอฟท์ปฏิวัติตั้งแต่ฐานราก จนเราอาจงงงวยว่าตกลงนี่มันเป็น “วินโดวส์” ที่เราคุ้นเคยมาหลายสิบปีจริงหรือเปล่า?

    คอลัมน์ตอนนี้ผมจะพยายามอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุดครับ



    ก่อนอื่นขอย้อนความสักเล็กน้อยว่า “วินโดวส์” ของไมโครซอฟท์ที่สืบทอดกันมายาวนานนั้นใช้วิธีการติดต่อกับผู้ใช้ที่เรียกว่า “เดสก์ท็อป” ซึ่งประกอบจากไอคอน หน้าต่าง เมนู ดังที่เราคุ้นเคยกันดี ผู้ใช้จะสั่งงานวินโดวส์ด้วยเมาส์และคีย์บอร์ด และดูผลลัพธ์จากหน้าจอ

    วินโดวส์ใช้แนวทางแบบนี้มาตลอดไม่เคยเปลี่ยนแปลง เราเห็นการเปลี่ยนผ่านจาก Windows 95 มาเป็น Windows XP และไล่มาจนถึง Windows 7 ถึงจะมีฟีเจอร์ใหม่เพิ่มเข้ามามากมาย เปลี่ยนโฉมหน้าตาให้สวยหรู มีแสงเงาสวยงาม แอนิเมชั่นพลิ้วไหวสักแค่ไหน แก่นของมันก็ยังใช้แนวคิดแบบ “เดสก์ท็อป” เช่นเดิม

    แต่ยุคสมัยของสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตจอสัมผัส เริ่มคุกคามจนไมโครซอฟท์ต้องปรับตัว และ Windows 8 ก็ถือเป็นครั้งแรกที่ไมโครซอฟท์ออกแบบระบบปฏิบัติการใหม่หมดเพื่อรองรับการสั่งงานด้วยนิ้วสัมผัสแบบใหม่

    ไมโครซอฟท์เลือกเก็บ “เดสก์ท็อป” แบบเดิมเอาไว้ (ของมันยังใช้ได้ดีก็ไม่ควรทิ้ง) และสร้างวิธีการติดต่อกับผู้ใช้แบบใหม่ขึ้นมาอีกอันหนึ่ง โดยออกแบบให้เน้นการสั่งงานด้วยนิ้วเป็นหลักจริงๆ ผลคือหน้าจอแบบใหม่ที่ไมโครซอฟท์เรียกว่า “เมโทร” (Metro ชื่ออย่างเป็นทางการอาจเปลี่ยนแปลงได้)

    เจ้า Metro คือสี่เหลี่ยมสีสันสดใสพร้อมไอคอนโทนสีเดียว ที่ไมโครซอฟท์นำมาโปรโมทอยู่บ่อยๆ นั่นล่ะครับ นี่คืออนาคตที่ไมโครซอฟท์กำลังจะมุ่งไป


    หน้าจอ Start Screen แบบใหม่ของ Windows 8 ที่ใช้การออกแบบแนว Metro


    ตัวอย่างแอพดูหุ้นบน Windows 8 ที่ใช้การออกแบบแนว Metro

    Windows 8 เพิ่มโหมดการทำงานแบบ Metro เข้ามา เรามีหน้าจอใหม่ที่เรียกว่า Start Screen ใช้แทน Start Menu แบบเดิม หน้าจอนี้จะรวมไอคอนของโปรแกรมต่างๆ ที่สามารถขยับไปมาได้ แสดงสถานะอัพเดตได้ตลอดเวลา (ถ้าใครเคยจับมือถือตระกูล Windows Phone มาก่อน มันใช้แนวคิดแบบเดียวกันเป๊ะเลย)

    นอกจากนี้ไมโครซอฟท์ยังเพิ่ม “แอพ” แบบใหม่ที่ทำงานเต็มหน้าจอเหมือนแอพบนไอแพดหรือแอนดรอยด์ แอพพวกนี้ออกแบบด้วยแนวทาง Metro เน้นการใช้งานบนจอสัมผัสที่สั่งงานด้วยนิ้ว ไม่เน้นคีย์บอร์ดและเมาส์

    ทั้งหมดรวมกันเป็น Windows 8 ครับ สรุปสั้นๆ อีกรอบว่า Windows 8 มีโหมดการทำงาน 2 แบบคือ เดสก์ท็อปแบบเดิม รันโปรแกรมเก่าๆ ของวินโดวส์ได้หมด และ Metro แบบใหม่ ที่ต้องใช้แอพแบบใหม่เท่านั้น

    ผู้ใช้สามารถสลับไปมาระหว่างโหมดเดสก์ท็อปกับ Metro ได้ตามต้องการ

    ปัญหาคือ Metro ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับเมาส์และคีย์บอร์ด ดังนั้นถึงแม้ว่ามันจะทำงานกับเมาส์และคีย์บอร์ดได้ ผลก็ออกมาไม่ดีเท่าที่ควร แถมไมโครซอฟท์ยัง “หักดิบ” ตัด Start Menu ของเดิมที่ออกแบบมาสำหรับเมาส์และคีย์บอร์ดทิ้งไป คนที่อยากเรียกโปรแกรมของวินโดวส์เดิมๆ ขึ้นมาทำงาน จำเป็นต้องเข้าไปยังหน้าจอ Start Screen (ที่ออกแบบด้วย Metro เพื่อนิ้วสัมผัส) เท่านั้น ถึงแม้ว่าจะใช้เมาส์และคีย์บอร์ดก็ตามที

    คนที่ย้ายจาก Windows 7 มายัง Windows 8 ย่อมพบอุปสรรคนี้แน่นอน และผมเชื่อว่าส่วนใหญ่จะไม่ชอบ บางคนอาจถึงขั้น “สาปส่ง” ไมโครซอฟท์ด้วยซ้ำ

    นี่จึงเป็นที่มาของชื่อคอลัมน์ตอนนี้ว่า “Windows 8 ไม่เหมาะสำหรับทุกคน” นั่นเองครับ

    อย่างที่บอกไปแล้วว่า Windows 8 ออกแบบมาโดยให้จอสัมผัสเป็นพระเอก อุปกรณ์ที่เหมาะกับมันจึงเป็นพวกแท็บเล็ตมากกว่าคอมพิวเตอร์จอไม่สัมผัส (ทั้งโน้ตบุ๊กและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ) อธิบายแบบง่ายๆ ได้อีกว่าไมโครซอฟท์ตั้งใจออกมาชนกับไอแพดนั่นแหละ

    แต่เนื่องจากไมโครซอฟท์มีระบบเดสก์ท็อปแบบเดิมที่แข็งแกร่ง ใช้เป็นจุดขายเหนือไอแพดของแอปเปิลได้ (ผมเชื่อว่าลึกๆ แล้วคนใช้ไอแพดก็อยากให้มันใช้ Microsoft Office ตัวเต็มของไมโครซอฟท์ได้ เอาไว้ทำงานเอกสารยามต้องใช้) ไมโครซอฟท์เลยขายพ่วง “เดสก์ท็อป” มาด้วย

    ขายพ่วงเฉยๆ ไม่พอ ไมโครซอฟท์ดันทำเรื่องให้มันซับซ้อน (อันนี้ต้องโทษไมโครซอฟท์นะครับ) แยก Windows 8 ออกเป็น 2 รุ่นใหญ่ๆ คือ รุ่นที่มีเดสก์ท็อปพ่วงมาด้วย กับรุ่นที่ไม่มี


    แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ของ Windows 8 รุ่นต่างๆ

    จากแผนภาพจะเห็นกรอบสีน้ำเงินที่ผมวาดเอาไว้ อันนี้คือ Windows 8 รุ่นสมบูรณ์ สามารถทำงานได้ทั้งโหมดเดสก์ท็อปและ Metro รองรับโปรแกรมยุคปัจจุบันอย่าง Photoshop, Firefox, AutoCAD หรือเกม WarCraft ครบถ้วน (อะไรที่ทำงานบน Windows 7 ได้จะไปทำงานบนเดสก์ท็อปของ Windows 8 ได้ด้วย) มันแบ่งเป็น 2 รุ่นย่อยคือรุ่นมาตรฐาน (Standard) และรุ่นมืออาชีพ (Professional) ซึ่งมีฟีเจอร์ต่างกันไม่มาก ผมจะไม่ลงรายละเอียดในที่นี้เพราะจะยาวเกินไป

    Windows 8 รุ่นสมบูรณ์ในกรอบสีน้ำเงิน ออกแบบมาสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ซีพียูของอินเทลเท่านั้น คอมพิวเตอร์ยุคปัจจุบันทุกตัวอยู่ในหมวดนี้ ดังนั้น คนที่มีโน้ตบุ๊กหรือคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่อยากใช้ Windows 8 จะต้องเลือกซื้อ Windows 8 Standard หรือ Pro มาติดตั้งเอง (ซึ่งผมอธิบายไปแล้วว่าอุปกรณ์พวกนี้ทำงานกับ Windows 8 ได้ไม่ดีเท่าไร)

    อย่างไรก็ตาม นอกจากโน้ตบุ๊กหรือคอมตั้งโต๊ะแล้ว เราจะเริ่มเห็นอุปกรณ์แบบใหม่ๆ ที่เป็นลูกผสมระหว่างแท็บเล็ตกับโน้ตบุ๊ก นั่นคือหน้าจอสามารถถอดออกมาเป็นแท็บเล็ตได้ และถ้าต้องการพิมพ์งานหรือใช้งานเมาส์-คีย์บอร์ด ก็สามารถ “ประกอบร่าง” เข้ากับแผ่นคีย์บอร์ดกลายเป็นโน้ตบุ๊กธรรมดาได้ด้วย

    อุปกรณ์แบบใหม่นี้จะเรียกว่า “แท็บเล็ตแบบไฮบริด” ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีใครทำออกมาขาย (รอ Windows 8 เปิดตัวเสร็จก่อน) ผมมองว่าเจ้านี่ล่ะครับคือไม้ตายของ Windows 8 เพราะมันรองรับทั้งสองโหมดการทำงาน ถ้าถอดมาแต่จอก็ใช้งานแอพแบบ Metro เหมือนกับใช้ไอแพดหรือแท็บเล็ตแอนดรอยด์ แต่เมื่อต้องทำงานจริงจังก็ประกอบร่างเป็นโน้ตบุ๊ก ใช้งาน Photoshop หรือเล่นเกมได้สบาย

    แต่นั่นยังไม่จบครับ ไมโครซอฟท์ยังมี Windows 8 ชุดเล็ก ที่ทำงานได้เฉพาะโหมด Metro เอามาชนกับแท็บเล็ตที่วางขายอยู่ในท้องตลาดตอนนี้ด้วย ไมโครซอฟท์เรียกมันว่า Windows RT โปรดจำชื่อนี้ไว้ดีๆ เพราะจะได้ยินอีกบ่อยมากในอนาคต

    Windows RT ออกแบบมาสำหรับแท็บเล็ตโดยเฉพาะ ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ต้องเป็นหน่วยประมวลผลตระกูล ARM แบบเดียวกับที่สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตทุกวันนี้ใช้งานอยู่ (รวมถึงไอโฟนและไอแพดด้วย) มันตัดโหมดการทำงานแบบเดสก์ท็อปออกไปเพื่อให้เบาเครื่องและประหยัดแบต ส่วนแอพที่เป็น Metro นั้นก็ออกแบบมาสำหรับจอสัมผัสอยู่แล้ว น่าจะทำงานได้ดีเมื่อใช้กับแท็บเล็ต

    ดูไปแล้วเหมือนว่ามันจับตลาดเดียวกับไอแพดและแท็บเล็ตแอนดรอยด์ทั้งหลาย ซึ่งหลายคนอาจตั้งคำถามว่าถ้ามีไอแพดอยู่แล้ว ทำไมเราต้องเปลี่ยนไปใช้แท็บเล็ต Windows RT กันด้วยเล่า

    ไมโครซอฟท์มีคำตอบเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว โดยการแถม Microsoft Office 2013 ตัวใหม่ล่าสุดมากับ Windows RT ทุกตัว (จริงๆ อาจจะเรียกได้ว่าคิดราคารวมมาแล้วก็ได้) จุดขายของ Windows RT จึงเป็นแท็บเล็ตที่ใช้ Microsoft Office 2013 รุ่นพิเศษได้ด้วย (Word, Excel, PowerPoint, OneNote) รับรองว่าเปิดไฟล์เอกสารไม่มีเพี้ยน

    นอกจากนี้ เพื่อการันตีว่า Windows RT บนแท็บเล็ตจะออกมาดี ไมโครซอฟท์จึงทำฮาร์ดแวร์ของตัวเองชื่อ Microsoft Surface มาขายด้วย (รายละเอียดอ่านได้จากคอลัมน์ตอนเก่าๆ) แต่ก็จะมีฮาร์ดแวร์แท็บเล็ตจากผู้ผลิตรายอื่นๆ อย่าง Dell, Lenovo, Samsung ให้เลือกซื้อด้วยเช่นกันในวันเปิดตัว


    คลิปวิดีโอแสดงการทำงานของ Metro กับแท็บเล็ตแบบไฮบริด

    จะเห็นว่าทั้ง Windows 8 รุ่นสมบูรณ์ (Standard, Professional) และ Windows 8 รุ่นแท็บเล็ต (Windows RT) ต่างมีกลุ่มเป้าหมายของตัวเองครับ รุ่นสมบูรณ์เน้นเจาะกลุ่มลูกผสมโน้ตบุ๊ก-แท็บเล็ต ส่วน Windows RT เจาะตลาดแท็บเล็ตโดยเฉพาะที่มีจุดขายตรงแถม Microsoft Office มาให้ด้วย

    ถ้าดูกันดีๆ แล้ว กลุ่มเป้าหมายของ Windows 8 ไม่ใช่โน้ตบุ๊กและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะในปัจจุบันแม้แต่น้อย เท่าที่ผมลองใช้ Windows 8 ทั้งบนโน้ตบุ๊กและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะมาหลายเดือน ก็พบว่าแทบไม่ต่างอะไรจาก Windows 7 เลย มีฟีเจอร์ใหม่เพิ่มเข้ามาเล็กน้อย และทำงานได้เร็วขึ้นเท่านั้น (ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดี)

    โดยสรุปแล้ว ผมคิดว่า Windows 8 ไม่เหมาะสำหรับโน้ตบุ๊กและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะในปัจจุบันสักเท่าไรนะครับ คนที่ใช้ Windows 7 อยู่แล้วจะใช้ต่อไปโดยไม่อัพเกรดก็ไม่มีปัญหาใดๆ ส่วนคนที่จะซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่ในอนาคตอาจได้ Windows 8 มาให้เลย มันก็ใช้งานได้เหมือนกันแค่อาจไม่คุ้นกับหน้าจอ Metro เท่านั้นเอง

    แต่คนที่คิดจะซื้อแท็บเล็ตช่วงปลายปีนี้ อาจมองแท็บเล็ต Windows RT ที่ขายในราคาใกล้เคียงกับไอแพดและแอนดรอยด์เป็นตัวเลือกด้วย (เพราะมันใช้ Office ได้) อันนี้ต้องรอสินค้าวางขายจริงๆ ก่อนแล้วจึงจะบอกได้ว่ามันใช้แล้วเวิร์กแค่ไหน

    นอกจากนี้ คนที่คิดจะซื้อโน้ตบุ๊กใหม่ในช่วงนี้อาจดึงจังหวะรออีกสักระยะ เพราะสินค้าชนิดใหม่อย่างแท็บเล็ตแบบไฮบริดที่ใช้ Windows 8 Standard/Professional กำลังจะทำตลาดด้วยเช่นกัน (ไมโครซอฟท์จะออก Surface Pro สำหรับงานนี้ด้วย) ขอให้จับตาดูให้ดี เพราะถ้าสินค้ากลุ่มนี้ประสบความสำเร็จ มันอาจปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์แบบเดิมๆ ไปเลยก็เป็นได้


    วิธีการติดตั้ง Windows 8 Pro แบบละเอียด

     วิธีการติดตั้ง Windows 8 Pro แบบละเอียด

    หลังจากที่เราผ่านขั้นตอนของการซื้อ และดาวน์โหลด Windows 8 Pro มาแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนของการติดตั้งกันแล้วนะครับ สำหรับเพื่อนๆที่เคยติดตั้ง Windows 7 ด้วยตัวเองมาก่อนแล้วล่ะก็ บอกได้ว่า“มันง่ายมากๆเลยจอร์จ” เรียกว่า มีข้อแตกต่างนิดหน่อยเท่านั้นเอง ที่สำคัญต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมตามนี้ก่อนครับ

    Windows 8 Pro Installation steps
    หน้าจอติดตั้ง Windows 8 Pro
    1. USB Flash Drive หรือ DVD สำหรับติดตั้ง Windows 8 Pro ที่เราได้ทำไว้ในตอนที่แล้ว 
    2. Product Key ที่ทาง Microsoft ส่งให้เราทางอีเมล์
    3. สติ และความกล้า อย่าได้กลัวที่จะลงมือทำเองนะครับ มันไม่ได้ยากเลย
     การติดตั้ง Windows 8 Pro 
    1. กรณีลงแบบ USB Flash Drive ให้เสียบคาไว้ก่อน แล้วเปิดเครื่อง กด F10 หรือ F12 รัวๆ รอไปเลย เพื่อเข้า Boot Menu ส่วนมาก Notebook/PC จะใช้ปุ่มนี้ จากนั้นก็ให้ไปเลือก USB Flash Drive แล้ว Enter
    2. กรณีลงแบบ DVD ที่เราไรท์ลงไปก่อนหน้านี้ ก็ทำเหมือนกันครับ เพียงแต่หลังจากที่เข้า Boot Menu แล้วให้เลือก CD/DVD
    3. ระหว่างที่กำลังบูทเครื่อง ถ้ามีข้อความ “Press any key to boot from” อะไรแบบนี้ ให้กดปุ่มอะไรก็ได้ครับ ผมชอบกด Space Bar เพราะมันใหญ่ดี
    4. จากนั้นก็จะเข้าสู่หน้าจอแบบนี้ครับ  และขอแนะนำให้เลือกแบบที่โชว์อยู่นี่นะครับ
      การติดตั้ง Windows 8 อย่างละเอียด
      ภาพอาจจะไม่ค่อยชัดนะครับ ผมใช้กล้องถูกๆถ่าย
    5.  กดปุ่ม Next ไปเลย รอแป้บนึง แล้วจะมาโผล่หน้าจอ ตรงนี้ให้เราใส่ Product key ที่ส่งให้เราทางอีเมล์เข้าไปครับ จากนั้นก็กด Next
      ใส่ product key ครับ
    6. มาถึงตรงนี้ก็เช็คถูกตรงช่อง I accept the licence terms แล้วก็กด Next ต่อโลด
      Accept Installation
    7. ผมลงแบบ Clean Install นะครับ ไม่ได้ลงแบบ Upgrade ฉะนั้นก็เลือก Drive หรือ Partition ที่ต้องการลง แล้วกด Format เลยครับ ล้างให้เกลี้ยง เสร็จแล้วก็กด Next ต่อไป
      Clean Installation
    8. เริ่มทำการติดตั้งแล้วครับ รอซักพักนึงนะ (จะว่าไปมันเร็วมากครับ เร็วกว่าตอนติดตั้ง Windows 7 เยอะเลย)
      Installing windows
    9. พอมาถึงหน้านี่ก็จะเป็นการกำหนด Personalise กันละ ชอบสีไหนก็เลือกกันเอาเองครับ แล้วก็ตั้งชื่อเครื่อง PC ของคุณซะ กด Next และในหน้าจอถัดไปให้เลือก Use Express Settings นะครับ (ผมไม่โชว์รูปนะ) แต่ถ้าคุณมีเวลาว่างจะกด Customise ก็ได้ ไม่ว่ากัน
      Personalise Windows 8
    10. ตรงนี้จะสำคัญมากครับ ให้ใส่ email ของ Microsoft ลงไป แต่ถ้าไม่มีให้มองข้างล่างครับ คลิกที่ Sign in without a Microsoft account ถ้าให้ดีควรเป็นอีเมล์ที่คุณได้ลงทะเบียนซื้อ Windows 8 ไว้นั่นแหละครับ
      Sign in to your PC
    11. พอดีว่าของผมเป็นอีเมล์ของ Microsoft อยู่แล้ว มันจะให้เราใส่ Password ครับ จากนั้นก็กด Next
      enter User and Password
    12. และแล้วก็ใกล้จะได้ยลโฉม Windows 8 Pro กันแล้วครับ…..รอกันไป
      Once your PC is ready
    13. การติดตั้ง Windows 8 Pro ก็เป็นอันเสร็จสิ้น ณ บัดนาว…ใครทำไม่สำเร็จบ้างเอ่ย หรือ ติดขัดตรงไหน โพสถามได้ครับ…และ “โปรดติดตามตอนต่อไป”สบายดี จ๊บข่าว
      Complet Installation Windows 8 Pro
    ขอบคุณบทความจาก

    http://www.rain-it.com